เคยไหม ที่รอคอยสิ่งหนึ่งมาเป็นเวลานาน แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวังอย่างแรง?
การเดินทางตามหาภูเขาฟิตซ์ รอย (Mount Fitz Roy) พระเอกแห่งขุนเขาในดินแดนปาตาโกเนีย ที่เราข้ามน้ำข้ามฟ้า ต่อด้วยการเดินเท้าหลายชั่วโมงไปหาเขาถึงหน้าบ้าน แล้วพบว่าเขาปิดประตูต้อนรับ ให้เราได้แต่ชะเง้อคอยมองดูเงาของเขาเท่านั้น ความรู้สึกเหมือนถูกผู้ชายหักอก เสียใจมาก ทั้งๆที่ก็เตรียมใจเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า พระเอกคนนี้ค่อนข้างขี้อาย
เส้นทางสู่ฟิตซ์ รอย สอนเราว่า นอกจากการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกเดินทาง เราอาจจะต้อง “พกดวง”มาด้วย เพราะ “ธรรมชาติเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้จริงๆ”
ก่อนเดินทางมาอเมริกาใต้ฉันนั่งคิดนอนคิดอยู่หลายตลบมากกว่า จะเลือกเดินเขาเส้นทางไหนบ้าง ยิ่งหาข้อมูลก็ยิ่งคิดไม่ตก เพราะดินแดนแห่งนี้มีเส้นทางเดินเขาที่น่าสนใจและสวยงามให้เลือกเยอะมาก สุดท้ายก็ลงเอยที่การไปเดินเขาบนเส้นทางสายอินคา (Classic Inca Trail) ที่ประเทศเปรู เป็นเวลา 4 วัน 3 คืน เพราะคิดว่าอาจจะมีโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิต ส่วนการเดินเขาในดินแดนปาตาโกเนียนั้น เราน่าจะมีโอกาสได้กลับมาอีก จึงเลือกเส้นทางสั้นๆแบบที่ไปวันเดียวได้ ถือว่าเป็นการวอร์มอัพก่อนเจอของจริงที่เปรู
แต่ที่ปาตาโกเนียก็มีเส้นทางให้เลือกเยอะมาก โดยเฉพาะที่เมืองเอล ชาลเตน (El Chalten) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งการเดินเขาในประเทศอาร์เจนตินาเลยก็ว่าได้ โดยเส้นทางยอดฮิตก็คือ การมาปีนเขาฟิตซ์ รอย สำหรับนักปีนเขามืออาชีพ หรือการมาชมยอดเขาฟิตซ์ รอยแบบใกล้ๆ ซึ่งก็มีเส้นทางให้เลือกหลายเส้นทาง ขึ้นกับระยะทาง ความยาก และความพร้อมทางร่างกายของนักเดินเขาแต่ละคน เส้นทางที่ฮิตที่สุดคือ Lago de Los Tres (จุด D บนแผนที่) ซึ่งใช้เวลาเดินไปกลับประมาณ 8-10 ชั่วโมง
ด้วยเวลาที่มีจำกัด เราเลยเลือกมาเมืองเอล ชาลตันแบบเช้าไปเย็นกลับ โดยซื้อตั๋วรถมาจากเมืองเอล กาลาฟาเต้ ตามข้อมูลที่ศึกษามาบอกว่าใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง และเลือกเส้นทางเดินไปที่ Camping Poincsnot (จุด C บนแผนที่ ) ซึ่งจะใช้เวลาเดินไปกลับประมาณ 6-8 ชั่วโมง
ขอบคุณภาพแผนที่เส้นทางเดินเขาในเมืองเอล ชาลเตนจาก www.atlasandboots.com
On the route 40 in Patagonia ทริปหวานเย็นบนทางหลวงหมายเลข 40
เราออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อที่จะได้มีเวลาที่เอล ชาลตันเยอะๆ เจ็ดโมงเช้าล้อหมุนรถมินิแวนมารับถึงโฮสเทล ฉันขอนั่งหน้าคู่กับคุณลุงคนขับเพื่อจะได้ชมวิวระหว่างทาง คุณลุงตระเวณรับนักท่องเที่ยวในตัวเมืองจนเต็มคันรถ แล้วมุ่งหน้าออกจากเมืองเอล กาลาฟาเต้
เส้นทางหลวงหมายที่ 40 เป็นถนนสองเลนลาดยางสภาพดีที่ตรงดิ่งสุดสายตา เหมือนมีเพียงรถของพวกเราคันเดียวที่วิ่งอยู่บนเส้นทางนี้ นานๆถึงจะมีรถสวนมา วิวจากหน้าต่างค่อยๆเปลี่ยนจากเมืองเล็กๆเป็นพื้นที่โล่ง ทุ่งหญ้าเตี้ยๆสีเขียวขี้ม้ามีภูเขาเป็นฉากหลัง บางช่วงมีสัตว์ป่าออกมาอวดโฉมเป็นระยะๆ
นอกจากฟ้าสีเทาที่มืดครึ้มแล้ว ความใจเย็นของคุณลุงคนขับก็ชวนให้หวั่นใจ แกเปิดเพลงละตินฟังไปขับรถไปแบบชิลล์ๆ ชวนฉันคุยนู่นนี่นั่น คุยกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แม้จะประทับใจกับความใจดีของคุณลุง แต่ก็กังวลว่า “แล้วเราจะไปถึงกันกี่โมงเนี่ยะ”
นั่งไปสักชั่วโมง คุณลุงก็แวะจอดที่โรงแรมลา เลโอนา (Hotel La Leona) ที่นี่เป็นที่จอดพักรถที่อยู่ครึ่งทางระหว่างเมืองเอล กาลาฟาเต้ กับเมืองเอล ชาลเตน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำลา เลโอนา และไม่ไกลจากทะเลสาบ นอกจากเป็นที่พักรถให้เราได้แวะทานกาแฟ ใช้บริการห้องน้ำ ที่นี่ยังได้รับความนิยมสำหรับคนที่ต้องการหลบหนีความวุ่นวายจากในเมืองมาพักผ่อนใกล้ชิดธรรมชาติ นอกจากเป็นโรงแรมที่มีประวัติศาสตรยาวนานบนเส้นทางสายนี้ ที่นี่ยังมีกิจกรรมให้เลือกทำมากมาย เช่น ขี่ม้า ล่องแก่ง ตกปลา ดูนก เดินเขา
ออกจากจากโรงแรมลา เลโอนา คุณลุงก็แวะให้เราได้ชมวิวทะเลสาบ Viedma (Lago Viedma) ทะเลสาบสีฟ้าอีกแห่งหนึ่งที่เกิดจากการละลายของธารน้ำแข็งในพื้นที่อุทยานฯแห่งชาติลอส กลาซิอาเรส
ถึงจุดนี้ ฉันมั่นใจว่าเราคงไปไม่ถึงเมืองเอล ชาลเตนภายในสองชั่วโมงแน่ๆ ก็เริ่มปล่อยวางให้กับความทริปหวานเย็นของคุณลุง ถึงเมื่อไหร่ก็ค่อยปรับแผนการเดินเอาข้างหน้าก็แล้วกัน
ก่อนถึงตัวเมืองเอล ชาลเตน คุณลุงก็แวะ (อีกแล้ว) ที่จุดชมวิวทางเข้าเมือง ภาพเบื้องหน้าคือเมืองเล็กๆกลางหุบเขาที่อยู่ภายในพื้นที่ของเขตอุทยานลอส กลาซิอาเรส
Lost in nature… หลงทาง
กว่าเราจะมาถึงเมืองเอล ชาลเตนก็เกือบ 11 โมงเช้า (ทำไมคนอื่นเดินทางกันแค่สองชั่วโมงกว่าๆ) รู้ดีว่าโอกาสที่จะไปถึงจุดหมายปลายทางที่คิดไว้ตอนแรกเป็นไปได้น้อยมาก เพราะเราต้องเดินกลับมาให้ทันรถกลับไปเอล กาลาฟาเต้ ตอนหกโมงเย็น จึงขอคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่ที่สถานีรถประจำทาง ถึงเส้นทางตัวเลือกที่จะได้ไปเห็นยอดเขาฟิตซ์ รอย ภูเขาในฝัน ที่ใช้เวลาเดินประมาณ 4-5 ชั่วโมง ซึ่งเค้าก็ใจดีแนะนำว่าเราน่าจะมีเวลาเพียงพอที่จะไปถึงจุดชมวิว Mirado Fitz Roy (จุด B บนแผนที่) ซึ่งอยู่ใกล้ทะเลสาบกาปรี (Lago Capri)
เจ้าหน้าที่คนนั้นบอกว่า “เส้นทางเดินง่าย มีป้ายชัดเจน ไม่หลงหรอก” แต่เมืองฉันถามว่า สภาพอากาศแบบนี้เราจะมีโอกาสเห็นยอดฟิตซ์ รอย หรือเปล่า คำตอบที่ได้ทำเอาใจหล่นลงพื้น “Today is impossible to see the Fitz Roy” อ้าว ไม่ให้ความหวังกันเลย
แต่ไหนๆก็มาถึงที่นี่ เราสองคนไม่ย้อมแพ้และมีความหวังว่าเราจะได้เจอภูเขาในฝัน จากมุมไกลก็ยังดี หรือบางทีพอเราเดินไปถึง ฟ้าอาจจะเปิดขึ้นมาก็ได้
เมืองเล็กกลางหุบเขาแห่งนี้น่าจะมีรายได้หลักมาการท่องเที่ยว สองข้างของถนนสายหลักเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ที่พัก ขนาดย่อมสีสันสดใส น่ารัก บรรยากาศเหมาะสำหรับเป็นเมืองพักผ่อนหลังออกไปผจญภัยหรือเหน็ดเหนื่อยจากการเดินเขา ถ้ามีโอกาส ครั้งหน้าฉันจะไม่พลาดที่จะกลับมาค้างคืนและพักที่เมืองเอล ชาลเตนให้นานกว่านี้
เดินมาประมาณ 15 นาที เราก็มาถึงจุดเริ่มต้นของเส้นทางพิชิตยอดเขาฟิตซ์ รอย
ตรงนี้มีมาตรวัดบอกระดับความเสี่ยงในการเกิดไฟไหม้ผ่าในพื้นที่ อย่างน้อยก็ก็มีเรื่องให้โล่งใจไปอย่างหนึ่ง
แล้วก็มีป้ายบอกเส้นทางการเดินเขา เป็นป้ายให้ข้อมูลที่สวยมาก แต่ก็ทำเอาเรางงกันอยู่สักพักว่าควรเริ่มต้นจากตรงไหนเพราะใกล้ๆกับป้ายนี้มีเส้นทางเดินเล็กๆ ทางเลี้ยวขวาดูเป็นทางเรียบ มีป้ายบอกทาง ทางตรงเป็นขั้นบันไดขึ้นเขา
แล้วเราก็เลือกเลี้ยวขวาเดินไปตามทางที่มีป้าย ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ที่สถานีรถบัส “มีป้ายบอกทางชัดเจน” โดยที่ไม่ได้เอะใจเลยว่า Chorrillo del Salto คือชื่อเส้นทางไปน้ำตก คิดเองเออเองว่า คงเป็นภาษาสเปนแปลว่า “เส้นทางเดินเขา อะไรประมาณนี้” แล้วก็ลืมไปด้วยว่าโหลดภาพแผนที่เส้นทางเดินเขาที่นี่ไว้ในมือถือ (ก็นั่งรถมาหลายชั่วโมง มันก็จะเบลอๆกันบ้าง)
แล้วเราก็เดินตามทางเดินไปเรื่อยๆ เป็นทางเดินที่ไม่ชันเลย เลียบไปตามไหล่เขา เห็นวิว Rio de las Vueltas เป็นแม่น้ำที่ไหลแยกมาจากทะเลสาบ Viedma ที่เราผ่านมาเมื่อตอนเช้า
ทางเดินที่เรียบง่าย ไม่ได้ลำบากแบบที่เตรียมใจไว้ เจอเพื่อนร่วมเส้นทางที่ดูมีอายุอานามเดินกันชิลล์ๆ ก็ทำให้เอะใจบ้างเหมือนกันว่า เรามาถูกทางหรือเปล่า แต่เราก็ยังก้าวต่อไป
ผ่านไปหนึ่ง เราก็มาโผล่ที่น้ำตกเล็กๆ คราวนี้เรามั่นใจแล้วว่า เรามาผิดทางแน่นอน แถมหลงมาไกลด้วย ฉันเปิดรูปป้ายบอกทางในกล้องที่ถ่ายไว้ คำว่า Chorrillo del Salto บาป้าย คือชื่อเดียวกับชื่อน้ำตกนั่นเองเราหัวเราะให้กับความสะเพร่า ก็ชื่อมันยาวและจำยากนี่นา
แล้วเราก็ต้องเดินย้อนกลับไปทางเดิม จนไปถึงจุดเริ่มต้นที่มีป้าย Selda al FITZ ROY เราเดินหลงกันไปเป็นระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร เสียเวลาไปประมาณ 2 ชั่วโมง ตอนนั้น เราไม่แน่ใจแล้วว่า เราจะยังคงเดินต่อไปได้อีกไกลแค่ไหน แต่เราก็ยังพอมีเวลา เลยตกลงปลงใจกันว่า ไหนๆก็มาแล้ว ลองเดินไปอีกทางดู โดยกำหนดว่า เดินไปจนถึงเวลาบ่ายสี่โมง แล้วต้องหันหลังกลับ ไปได้ถึงไหนก็แค่นั้น
The Truth is, we all get lost as we try to find our way. Perhaps the key is to stop, take a look around and enjoy the scenery as we go. – Jatawny M. Chatmon
ชีวิตก็เหมือนการเดินทาง อาจจะมีหลงทางไปบ้าง อาจจะเริ่มต้นใหม่อีกไม่รู้กี่ครั้ง แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ก็เป็นบทเรียนและความทรงจำที่ดีในชีวิตเสมอ
Mt. Fitz Roy, where are you? อกหัก…เพราะฟิตซ์ รอย
จากจุดเริ่มต้น เราเดินไต่เขาขึ้นไปอีกทาง คราวนี้เส้นทางมีความสมเหตุสมผลที่จะเป็นเส้นทางพิชิตเขาฟิตซ์ รอย ทางเดินขนานไปกับแม่น้ำเหมือนเดิม แต่เป็นมุมที่สูงขึ้น ยิ่งสูงวิวยิ่งสวย
เดินไปสักพัก ปรอยฝนตกลงมากระทบผิว ความหนาวเย็นเริ่มเป็นอุปสรรคให้ก้าวขาได้ช้าลง แล้วเราก็เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น “เอ้ย หิมะตก บ้าไปแล้ว” เพื่อนสาวของฉันเริ่มมีอาการคึกคักมากเป็นพิเศษ เธอบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เดินท่ามกลางหิมะ ส่วนฉันที่ไม่ชอบความหนาวเย็นและชื้นแฉะเป็นทุนเดิม จึงไม่ได้รื่นรมย์กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากนัก โดยเฉพาะหิมะเปียกๆแบบนั้น รีบเก็บกล้องถ่ายรูปเก็บใส่กระเป๋า
แม้หิมะจะตกลงมาเพียงช่วงสั้นๆ แต่ก็เพียงพอให้เราสองคนได้หัวเราะให้กัน สร้างสีสันใหม่ให้การเดินเท้าที่เริ่มอ่อนล้า
บนเส้นทางที่ถูกต้อง จึงยังป้ายบอกระยะทางไปสู่เบสแคมป์ฟิตซ์ รอย ช่วยนักเดินทางนับถอยหลังไปสู่เส้นชัย
เดินไปได้พักหนึ่ง ธรรมชาติรอบตัวก็เริ่มเปลี่ยน จากหญ้าเตี้ย พุ่มไม้เล็กๆ วิวโล่งๆมองเห็นแม่น้ำ กลายเป็นพุ่มไม้สูงใหญ่ขึ้น เป็นป่าโปร่งๆ ช่วงที่เราเดินทางเป็นฤดูใบไม้ร่วงของที่นั่น ต้นไม้เปลี่ยนสีจึงสร้างความสวยงามให้กับเส้นทางเดินเขานี้ไปอีกแบบ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในประเทศญี่ปุ่นหรือเกาหลี
แล้วเราก็มาถึงจุดชมวิว Mirado Fitz Roy ตอนประมาณบ่ายสามโมง แม้ว่าจะไม่ได้เป็นจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจไว้ในครั้งแรก แต่ก็เป็นจุดที่สามารถมองเห็นยอดฟิตซ์ รอย จากมุมไกลที่สวยไม่แพ้จุดไหน
แต่หนุ่มฟิตซ์ รอย พระเอกของเรา กลับซ่อนตัวอยู่ด้านหลังเมฆหมอกหนาอย่างเขินอาย เรามองเห็นได้แค่เพียงฐานภูเขาเท่านั้น ส่วนยอดเขาที่อลังการดึงดูดให้เราเดินทางไกลมาถึงที่นี่ถูกปกคลุมอย่างมิดชิด เหมือนกำลังหลับสนิทอยู่หลังหมู่เมฆ ทำไมใจร้ายกับสองสาวได้ถึงเพียงนี้ อุตส่าห์มาเคาะประตูถึงหน้าบ้านแล้วแท้ๆ
ธรรมชาติเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ บางทีเราก็ต้องพกดวงมาเองด้วย
ตอนนั้นได้แต่หวังว่า พระอาทิตย์จะส่องแสงขึ้นมา และช่วยให้เมฆหมอกจางหายไป จินตนาการถึงยอดเขารูปทรงสวยแปลกตาที่เคยเห็นบนโปสการ์ดและหน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่เมื่อรู้ว่าคงหมดหวังแน่แล้ว จึงตัดใจหยิบขาตั้งกล้องที่แบกขึ้นเขามา ถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึก ตรงหน้าบ้านพ่อพระเอกนั่นแหละ
ยอมรับว่าวันนี้ฉันเกิดอาการนอยด์หลายครั้ง ตั้งแต่ทัวร์หวานเย็นกับคุณลุงอารมณ์ดี หลงทางพระความสะเพร่า สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงทุกๆห้านาที เจอทั้งฝน ลมหนาว และหิมะ และสุดท้าย ความเสียใจอกหักที่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตาพ่อยอดเขาฟิตซ์ รอย แต่ในที่สุด ฉันก็เตือนตัวเองว่า
การเดินทางไม่ได้มีเฉพาะด้านที่สวยงามเท่านั้น บ่อยครั้งที่เราอาจจะต้องเผชิญกับความผิดหวัง ไม่ได้ดั่งใจ หรือมีปัญหาเข้ามาให้แก้ไข มันก็เหมือนการเดินทางของชีวิต ภูเขาแต่ละลูก ถนนแต่ละเส้น สอนบทเรียนให้เราแตกต่างกันไป ตั้งแต่การเรียนรู้ที่จะกัดฟันต่อสู้ การแบ่งปันความสุขความสนุกกับเพื่อนร่วมทาง การยอมรับความพ่ายแพ้ และการทำความเข้าใจว่าความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้เสมอ
การไม่ได้เห็นยอดฟิตซ์ รอยอาจจะดูเหมือนว่าเรามาไม่ถึง เส้นทางสู่ฟิตซ์ รอยของเราอาจจะไม่เหมือนใคร สุดท้ายแล้ว ฉันก็รู้สึกว่า สิ่งสำคัญอาจไม่ได้อยู่ที่การไปถึง
ถึงแม้ภาพของยอดฟิตซ์ รอย จะไม่เหมือนกับที่เคยวาดไว้ แต่พวกเราก็เลือกที่จะสนุกไปกับมัน
ที่นั่นเราเจอฝรั่งคนหนึ่ง กำลังนั่งวาดภาพวิวเบื้องหน้า ดูเหมือนว่าเขาต้องการพื้นที่ส่วนตัว และเราก็ต้องรีบเดินทางกลับ จึงไม่ได้เข้าไปพูดคุยทักทายกัน
ถึงเวลาเดินทางกลับ แล้วเราก็เดินหลงทางอีกครั้ง เพราะเส้นทางตรงนี้เป็นวงกลม จนเราเดินเลยไปจนถึงทะเลสาบกาปรี (Lago Capri)
แม้ภาพของทะเลสาบกาปรีจะเชิญชวนให้อยู่ต่อ แต่เราก็ต้องกล่าวลาอย่างไม่ค่อยเต็มใจ รีบหาทางเดินกลับไปยังเมืองเอล ชาลเตน เพื่อให้ทันรถรอบหกโมงเย็น ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นจุดกางเต็นท์อีกจุดหนึ่งของอุทยานฯ
ขากลับเราทำเวลาเดินลงเขาได้ค่อนข้างดี พอมีเวลาให้เพลิดเพลินและถ่ายภาพวิวสวยข้างทางบ้าง
ประมาณหนึ่งชั่วโมงเราก็เดินทางกลับมาถึงเมืองเอล ชาลเตน เราถ่ายภาพคู่กับป้าย จุดเริ่มต้นของการหลงทางไว้เป็นที่ระลึก
การหลงทาง บางทีมันก็มีประโยชน์นะ มันช่วยเปิดเส้นทางใหม่ให้เรา
นอกจากธรรมชาติที่สวยงามของอุทยานแห่งชาติลอส กลาซีอาเรส ฉันยังประทับใจกับทุกเส้นทางที่ได้ไปเทรคกิ้ง เส้นทางปลอดภัย เดินง่าย และมีการดูแลรักษาธรรมชาติเป็นอย่างดี
แม้จะผิดหวัง แต่ประสบการณ์การเดินทางครั้งนี้ กลับทำให้ฉันรู้สึกอิ่ม ตั้งใจไว้ว่าจะหาโอกาสกลับมาเยือนเอล ชาลเตน อีกครั้ง จะมาใช้เวลาอยู่ที่นี่ให้นานกว่านี้ แล้วเจอกันใหม่นะพ่อฟิตซ์ รอย
เมื่อมาถึงในเมือง เราให้รางวัลปลอบใจแก่ตัวเองด้วยการหาร้านอาหารเก๋ๆสำหรับดินเนอร์ ขากลับเราสองคนเลือกนั่งด้านหลังสุดของรถ เพราะความเหนื่อยล้าของร่างกาย เราสองคนหลับสนิทข้างๆกันไปจนถึงเมืองเอล กาลาฟาเต้
ทุกเส้นทางต่างมุ่งตรงไปหาจุดหมาย แต่ก็อาจไม่ใช่ทุกคนที่จะไปถึง
A dream journey to South America
Part I เรื่องเล่าก่อนออกเดินทาง
Part 2 A Colourful Day in Buenos Aires
Part 3 Ushuaia Welcome to The End of The World
Part 4 Penguins and more on the Beagle Channel
Part 5 Nature walk in the Tierra del Fuego
Part 6 El Calafate and its secret destination
Part 7 Adventure day on the BIG ICE