เมืองสุดขอบโลกอย่างอูซัวย่า (Ushuaia) มีความหลากหลายทางภูมิประเทศไว้รอต้อนรับแขกผู้มาเยือนจากทุกมุมโลก นักเดินทางสายธรรมชาติอย่างฉันก็คงไม่พลาดที่จะออกไปสำรวจภูมิทัศน์ที่เต็มไปด้วยภูเขาผืนป่าสวยๆ และสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของอุทยานแห่งชาติเตียร์ราเดลฟวยโก (Tierra del Fuego) ที่ได้รับการขนามว่าเป็น อุทยานแห่งชาติที่อยู่ใต้สุดของโลก (The world’s southernmost national park)
อุทยานฯเตียร์ราเดลฟวยโก อยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองอูซัวย่าประมาณ 12 กิโลเมตร ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่ไม่มีรถส่วนตัวก็จะใช้บริการบริษัททัวร์แบบ One day trip เราซื้อทัวร์จากในเมืองเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศไปเที่ยวป่าเขากันบ้าง เลือกเส้นทางเทรคกิ้งสั้นๆเป็นการซ้อมกล้ามเนื้อขาก่อนไปเทรคบนเส้นอื่นๆในทวีปอเมริกาใต้
The End of The World Train
กิจกรรมอีกอย่างที่ผู้มาเยือนเมืองอูซัวย่าไม่ค่อยพลาดก็คือ การนั่งรถไฟ “Camila – The Prisoner Train” หรือขบวนรถไฟสุดขอบโลก (The End of the World Train or The Southern Fuegian Railway) ที่วิ่งผ่านอุทยานฯเตียร์ราเดลฟวยโก เป็นเส้นทางรถไฟที่สร้างขึ้นโดยนักโทษเพื่อใช้ลำเลียงอาหารและของใช้จำเป็นสู่เมืองอูซัวย่าในสมัยก่อน มีระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 45 นาที แต่ฉันเลือกที่จะไปเดินเทรคกิ้งในอุทยานฯแทน
ไกด์พานักท่องเที่ยวที่ต้องการนั่งรถไฟชมวิวไปส่งที่สถานี La Comarca ระหว่างรอรถไฟออกเดินทาง เรามีเวลาเดินเล่นสำรวจสถานีรถไฟและบริเวณรอบๆประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง ส่วนไกด์ก็เข้าไปนั่งจิบกาแฟในคาเฟ่
ด้านในสถานีรถไฟตกแต่งด้วยธงชาตินานาประเทศ เราตื่นเต้นที่ได้เห็นธงชาติไทยด้วย เป็นการตัวบ่งบอกว่า นักท่องเที่ยวชาวไทยหลายคนเคยเดินทางไกลมาถึงดินแดนแห่งนี้แล้ว
ที่นั่นเราได้เจอกับครอบครัวเล็กๆครอบครัว Barrios ชาวอาร์เจนติเนียนที่มีลูกสาวน่ารักมาก ชื่อว่า Mayte สาวน้อยตาคมผมหยอยหันมายิ้มหวานและชวนพวกเราเล่นด้วย แม้จะสื่อสารกันไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ดูเหมือนว่าเราจะได้เพื่อนใหม่และเป็นมิตรภาพดีๆที่สุดขอบโลกเลยนะ (ตอนนี้ก็เป็นกับ Desiderio คุณพ่อของน้องทางเฟสบุ๊ค คุณพ่อก็ตามกดไลค์เวลาฉันไปเที่ยว ส่วนฉันก็ตามกดไลค์ภาพน่ารักๆของสาวน้อยอยู่เสมอ เราส่งข้อความกันบ้างผ่านตัวช่วยอย่าง google trnslater)
หลังจากส่งนักท่องเที่ยวคนอื่นๆขึ้นรถไฟสุดขอบโลกเรียบร้อยแล้ว ไกด์ก็พาเราสองคนและลูกทัวร์ชาว อาร์เจนติเนียนอีกสองคนไปเดินชมธรรมชาติริมอ่าว Ensenada Bay
ที่นี่เป็นจุดชมวิวที่เราจะได้เห็นเกาะ Redonda และ เกาะ Estorbo ซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของช่องแคบบีเกิ้ล และยอดเขา Cadena Sampio ฝั่งประเทศชิลี
บรรยากาศที่นี่สวยและสงบมาก เส้นทางเดินเทรคเล็กที่เลาะไปตามริมทะเลสีฟ้าอมเขียว มีเกาะแก่งและภูเขาน้ำแข็งเป็นฉากหลังอยู่ไกลๆ น้ำใสแจ๋ว
ระหว่างเทรคกิ้งเราได้พูดคุยกับไกด์ท้องถิ่นที่ให้ความรู้เกี่ยวกับอุทยานฯ อีกทั้งแบ่งปันประสบการณ์การเดินทางซึ่งกันและกันให้ฟังอย่างเป็นกันเอง บ่อยครั้งการได้พูดคุยกับผู้คนที่พบเจอระหว่างการเดินทาง ก็สนุกและได้เปิดโลกไปอีกแบบ
การเดินทางทำให้เราได้มีโอกาสสานสัมพันธ์กับผู้คนใหม่ๆ ที่ไม่ปรากฎอยู่ในแผนการเดินทาง แม้อาจจะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก แต่ในขณะนั้น เราได้แบ่งปันความสุขและประสบการณ์ให้กันและกัน
แม้เป็นช่วงเวลาสั้นๆ และเป็นเพียงแค่มุมๆหนึ่งของดินแดนปาตาโกเนีย เราสองคนก็รู้สึกหลงรักดินแดนแห่งนี้หัวปักหัวปำแล้ว
จากนั้นเราก็ต้องแวะไปรับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆที่สถานีรถไฟปลายทางของเส้นทางรถไฟสุดขอบโลก ฉันแอบอมยิ้มกับสีหน้าเปี่ยมสุขของผู้โดยสารทุกคน บ่งบอกว่าเส้นทางที่พวกเขาได้ผ่านมาคงเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำครั้งหนึ่งในชีวิต คิดแล้วก็แอบเสียดายไม่ได้เหมือนกัน
Walk into the nature เดินรับพลังธรรมชาติ
หลังจากนั้นเราก็เดินทางกันต่อไปเข้าไปในหุบเขาปีโป้ (Pipo valley) ไกด์หยุดให้พวกเราลงไปเดินเทรคสั้นๆเพื่อชมวิว Condo hill ช่วงที่เราเดินทางเป็นช่วงปลายฤดุใบไม้เปลี่ยนสี ผืนป่าเขียว เหลือง ส้ม ปนน้ำตาลแดงบนภูเขาสูง ทำให้ Condo hill กลายเป็นภูเขาสีรุ้งสวยงามมาก
ดินแดนสุดขอบโลกมีความดิบมาก ป่าต้นไม้แห้งซึ่งเป็นเอกลักษณ์ทางธรรมชาติของดินแดนปาตาโกเนียแห่งนี้ ที่เรียกว่า Dead forest ต้นไม้สีขาวที่แห้งสนิทกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ ตัดกับผืนป่าหลากสีทำให้ยิ่งโดดเด่น เหมือนเป็นงานศิลปะที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ได้อย่างวิจิตร เป็นทัศนียภาพที่ฉันไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
แล้วเราก็เดินทางกันต่อไปบนเส้นทางหลวงหมายเลข 3 (National rout 3) ไปจอดให้เราได้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกับป้าย “จุดสิ้นสุดทางหลวงของทวีปอมเริกาใต้” (The end of the roads in South America)
จากจุดนี้เราสามารถไปเดินเล่นชมวิวสวยๆของ Laguna Negra หรือทะเลสาบสีดำแห่งอุทยานฯเตียร์ราเดลฟวยโก มีวิวภูเขาสีรุ้งเป็นฉากหลัง
นอกจากธรรมชาติที่สวยงาม ฉันประทับระบบการจัดการของที่นี่มาก ไกด์นำเที่ยวที่ให้ความรู้เกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติได้เป็นอย่างดี ทั้งยังคอยเตือนนักท่องเที่ยวให้ทำตามกฏและช่วยดูแลผืนป่าแห่งนี้ มีป้ายเตือนและแบ่งเส้นทางเดินป่าที่ชัดเจน บางช่วงยังมีเส้นทางเดินที่สะดวกสบายให้เราได้เข้าไปชมธรรมชาติได้อย่างใกล้ชิด
ก่อนเดินทางกลับเมืองอูซัวย่า เราได้แวะชม Lago Acigami หรือทะเลสาบโรก้า (Lake Roca) เป็นทะเลสาบที่เกิดจากการละลายของธารน้ำแข็งเช่นเดียวกับทะเลสาบอื่นๆในดินแดนปาตาโกเนีย
บรรยากาศตรงนี้เหมาะแก่การพักผ่อน นั่งรับพลังจากธรรมชาติ จนไม่อยากจะไปไหนเลย แต่อีกใจก็รู้ดีว่า ยังมีสถานที่สวยงามอีกมากมายรอต้อนรับเราอยู่บนเส้นทางสายนี้
ฉันชอบอุทยานฯที่นี่มาก เป็นเขตป่าสงวนที่อุดมสมบูรณ์ มีความหลากหลายทางธรรมชาติ ทั้งภูเขาหิมะ ภูเขาหญ้า ทะเลสาบ และป่าไม้ แถมมีสัตว์ป่าหลายชนิดออกมาโชว์ตัวให้ได้เห็นเป็นระยะๆ ไม่ว่าจะเป็นสุนัขจิ้งจอก ม้า และตัวบีเวอร์
In every walk with nature one receives far more than he seeks – John Muir
A dream journey to South America
Part I เรื่องเล่าก่อนออกเดินทาง
Part 2 A Colourful Day in Buenos Aires
Part 3 Ushuaia Welcome to The End of The World
Part 4 Penguins and more on the Beagle Channel
Part 5 Nature walk in the Tierra del Fuego
Part 6 El Calafate and its secret destination
Part 7 Adventure day on the BIG ICE
4 thoughts on “Nature walk in the Tierra del Fuego”