เมื่อมีโอกาสได้มาใช้ชีวิตอยู่ทางตอนใต้ของประเทศเยอรมนี หลายๆคนก็เอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่า ฉันไม่ควรพลาดเที่ยวงานเทศกาลเบียร์ชื่อดังและยิ่งงใหญ่ที่สุดในโลก หรือที่รู้จักกันดีว่า “Oktoberfest” ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนว่า ก่อนย้ายมาทำงานที่เยอรมนีฉันดื่มเบียร์ได้น้อยมาก ครึ่งลิตรก็ปวดหัวเดินเซแล้ว จนเพื่อนร่วมงานที่สิงคโปร์ต่างาดหวังว่า หลังจากย้ายมาทำงานที่นี่ความสามารถในการดื่มเบียร์ของฉันควรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ผ่านไปเกือบปี ฉันเริ่มคุ้นชินกับการดื่มเบียร์มากขึ้น เพราะคนที่นี่ดื่มเบียร์กันแทนน้ำ ดื่มกันได้ทุกเวลาและโอกาส รสชาติเบียร์ที่นี่ก็ลื่นคอนุ่มลิ้น ที่สำคัญราคาถูกกว่าเครื่องดื่มประเภทอื่นหรือน้ำเปล่าเสียอีก แต่เมื่อเพื่อนที่ทำงานชวนไปร่วมงานเทศกาลเบียร์ที่มิวนิค ตอนแรกก็ลังเลเพราะเกรงว่าฉันจะเมาล้มคว่ำไปก่อนใครเขา ถึงแม้จะเก่งกาจขึ้นแต่เมื่อเทียบกับเพื่อนคนอื่นๆแล้ว ฉันนี่ระดับอนุบาลเลยก็ว่าได้ แต่สุดท้ายฉันก็ตกปากรับคำร่วมทริปไปกับเขาด้วย
แล้วเราก็รวมตัวกันได้ 6 คน สาวไทย 1 สาวอินเดีย 1 สาวฝรั่งเศส 1 สาวเยอรมัน 1 หนุ่มอังกฤษ 1 และหนุ่มเยอรมันชาวบาวาเรีย 1 คน (ตอนหลังมีน้องคนไทยมาแจมอีกหนึ่งคน) ชาวต่างชาติทุกคนเพิ่งเคยไปงานเบียร์เป็นครั้งแรก เพื่อนสาวชาวเยอรมันยังไม่เคยไปงานที่มิวนิค เราจึงมีหนุ่มบาวาเรียเป็นเจ้าภาพพาไปเปิดประสบการณ์เทศกาลนี้กันตั้งแต่วันเสาร์แรกที่เริ่มงาน 17 กันยายน 2016
เทศกาล Oktoberfest หรือที่ชาวเยอรมันเรียกว่า Weisen เป็นงานเทศกาลเบียร์ที่จัดเกือบทุกเมืองทางตอนใต้ของประเทศเยอรมนี แต่ที่โด่งดังและยิ่งใหญ่ที่สุดคือที่เมืองมิวนิค จนได้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งเบียร์ งานจัดขึ้นที่ลานกว้างประจำเมืองชื่อ Theresienwiese เป็นเวลา 2-3 สัปดาห์ ช่วงกลางเดือนกันยายนไปจนถึงต้นเดือนตุลาคม ในแต่ละปีมีผู้มร่วมงานนี้จากทั่วโลกกว่า 6 ล้านคน ถือเป็นหนึ่งในเทศกาลที่มีชื่อเสียงที่สุดในเยอรมนีและเป็นเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดของโลก และมีความสำคัญต่อวัฒนธรรมของบาเยิร์น เทศกาลดั้งเดิมจัดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 1810 โดยจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองงานอภิเษกสมรสระหว่างมกุฎราชกุมารลุดวิคกับเจ้าหญิงเทเรซ ดังนั้น การมาเที่ยวงานเบียร์ที่นี่จึงต้องวางแผนกันล่วงหน้า เพราะโรงแรมที่พักต่างๆจะถูกจองล่วงหน้ากันเป็นปีและราคาสูงลิ่ว รวมถึงการต้องจองโต๊ะในเต็นท์เบียร์ล่วงหน้าด้วย
นอกจากเทศกาลกินดื่ม ที่งานเบียร์ยังมีกิจกรรมเครื่องเล่นต่างๆมากมายให้ได้สนุกกันด้วย บรรยากาศเหมือนงานวัดขนาดใหญ่มาก แต่พวกเรา 6 คน ไม่ได้จองโต๊ะไว้ล่วงหน้า อีกทั้งวันนั้นฝนตกโปรยปรายตั้งแต่เช้าตรู่ ฉันเลยไม่มีโอกาสเก็บบรรยากาศภายนอกเต็นท์ตรงลานกิจกรรมกลางแจ้งมาให้ชมกันเลย หลังจากแต่งตัวด้วยชุดประจำชาติหรือประจำเทศกาล (ชุดที่ใส่ของผู้ชายจะเป็นเสื้อลายสกอตและกางเกง Lederhose ส่วนของผู้หญิงจะเป็นชุด Dirndl) พวกเราก็รีบเดินทางไปที่เทศกาลกันตั้งแต่เช้า เราเลือกเข้าแถวต่อคิวที่เต็นท์ของ Paulaner ตั้งแต่ 7 โมงเช้า ซึ่งในวันหยุดเต็นท์จะเปิดประมาณ 9.00 – 22.30 น. ส่วนวันปกติจะเปิดเวลา 10.00 – 22.30 น. สภาพพวกเราตอนนั้นคืองัวเงียทั้งง่วงและหิว โชคดีที่ทางเต็นท์จัดที่นั่งไว้ให้รอ หากต้องยืนรอ 2 ชั่วโมงพวกเราคงไม่มีแรงดื่มหลังจากนั้น
เบียร์ที่นำมาจำหน่ายในเทศกาลเบียร์นี้ เป็นเบียร์ที่บ่มขึ้นมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ซึ่งจะมีสีและรสเข้ม และมีปริมาณแอลกอฮอล์สูงกว่าเบียร์ทั่วไป โดยปกติเบียร์เยอรมันมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อยู่ที่ 5.3% แต่ Weisenbier หรือเบียร์ในงาน จะมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ระหว่าง 6-7% และงานนี้จะอนุญาตเฉพาะโรงบ่มเบียร์แถบเมืองมิวนิคเท่านั้นที่จะมาจำหน่ายเบียร์ในเต็นท์ขนาดยักษ์ได้ ซึ่งเฉพาะเบียร์แถบนี้ก็มีเต็นท์น้อยใหญ่กว่า 20 เต็นท์ เต็นท์เบียร์ที่นี่มีขนาดใหญ่และแข็งแรงมาก แต่ละเต็นท์จุคนได้หลายพันหรือเป็นหมื่นคน แบรนด์ดังๆที่มาร่วมงานได้แก่ Spaten-Franziskaner-Bräu, Augustiner, Paulaner, Hacker-Pschorr, Hofbräu และ Löwenbräu
เมื่อถึงเวลาเต็นท์เปิด เหล่าสิงห์นักดื่มก็ค่อยๆทยอยกันเข้าเต็นท์ตามคิวไปยังโต๊ะที่ทางร้านจัดไว้ให้ เป็นโต๊ะยาวแบบที่นั่งได้เกือบยี่สิบคน กลุ่มของพวกเราได้ร่วมโต๊ะกับหนุ่มๆชาวอิตาลีที่มาจัดที่มาจัดปาร์ตี้สละโสดให้เพื่อนในแกงค์คนนึง ฉันรู้ทันทีว่าวันนี้คงสนุกแน่นอน ถึงแม้จะได้โต๊ะแล้วแต่ยังไม่ถึงเวลาเสิร์ฟเบียร์ พวกเราเลยสั่งอาหารเช้าง่ายๆมาทานกันก่อนเพราะยังไม่ได้ทานอาหารเลยตั้งแต่เช้า สิ่งที่ควรต้องลองคือไส้กรอกขาว (Weisswurst) ซึ่งเป็นอาหารเช้าสไตล์บาวาเรียน
ในงานนี้จะมีแค่เบียร์ขนาด 1 ลิตรขายเท่านั้น ราคาประมาณ 9.10-9.50 ยูโร ใหญ่และหนักมากสำหรับหญิงไทยตัวเล็กๆอย่างเรา นับถือพนักงานเสิร์ฟที่นี่ต้องมีกล้ามเนื้อแขนในการเดินเสิร์ฟเบียร์ทีละหลายๆลิตรตลอดทั้งงาน
เบียร์เริ่มเสิร์ฟก็ตอนเกือบๆเที่ยงแล้ว ระหว่างนั้นก็มีขบวนพาเรดและดนตรีสดสไตล์บาวาเรียนให้ได้ชมให้ได้ฟังกัน แต่บรรยากาศเปลี่ยนเป็นสนุกสนานมากๆทันทีที่มีเบียร์แก้วใหญ่มาเสิร์ฟที่โต๊ะ เสียงชนแก้ว PROST!!! ดังไปทั่วเต็นท์ ตอนแรกฉันพยายามจิบช้าๆเพราะราตรีนี้ยังอีกยาวไกล ไม่อยากฟุบหลับคาโต๊ะไปตั้งแต่ก่อนเที่ยง แต่บรรยากาศความสนุกสนานก็เชื้อเชิญให้เรายกแก้วขึ้นดื่มได้ถี่เหลือเกิน
ผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง ประมาณช่วงบ่ายสองโมง บรรยากาศก็ยิ่งคึกคักฮึกเหิมมาก เพลงเริ่มมันส์ขึ้น คนก็เริ่มเมาขึ้น เริ่มมีการลุกขึ้นยืนเต้นบนเก้าอี้ (ที่นี่จะไม่อนุญาตให้ขึ้นไปยืนบนโต๊ะค่ะ ถ้าพนักงานเห็นก็จะเข้ามาเตือน ซึ่งพอคนเริ่มเมาก็มีความวุ่นวายให้เห็นบ้างเหมือนกัน) เริ่มมีการท้าทายกันดื่มแบบหมดแก้วหรือ Bottom up ตอนนั้นฉันเริ่มสนุกและเก็บกล้องถ่ายรูปให้มิดชิด (แอบกลัวกล้องหาย ลืมกล้อง หรือโดนกระแทกบ้างเหมือนกัน จริงๆบรรยากาศในงานถ่ายรูปยากมากค่ะ มีแต่ตากล้องอาชีพของเต็นท์เท่านั้นที่ใช้กล้องใหญ่ คนอื่นๆเค้าก็แค่ใช้กล้องมือถือถ่ายรูปกัน ฉันเลยต้องระวังกล้องตัวเองเป็นพิเศษ อีกใจก็อยากเก็บบรรยากาศให้ได้มากที่สุด เพราะคิดว่าครั้งหน้ามาอีกจะไม่พกกล้องมาแล้ว จะได้สนุกได้เต็มที่) และถ้ามีคนเมาจนอาเจียนหรือเริ่มจุดชะนวนทะเลาะวิวาท ทางพนักงานก็จะเข้ามาตักเตือนหรือเชิญให้ออกจากเต็นท์ถ้ารุนแรง บรรยากาศในงานจึงสนุกสนาน เป็นมิตร และทำให้รู้สึกปลอดภัยมาก
พวกเราทั้ง 6 คน สนุกสนานกันเต็มที่จนถึงตอนหัวค่ำประมาณ 1-2 ทุ่ม ฉันก็เริ่มรู้สึกว่าเพื่อนๆส่วนใหญ่ของฉันเริ่มไม่ไหวไม่ค่อยมีสติกันแล้ว พวกเขาดื่มกันหนักมาก แทบจะนับไม่ได้ว่าดื่มไปทั้งหมดกี่ลิตรตลอด โดยเฉพาะเพื่อนหนุ่มชาวบาวาเรียนเจ้าภาพที่ดูจะอาการหนักกว่าใคร คนที่เราหวังจะพึ่งพาให้พาเรากลับอย่างปลอดภัย ดูเหมือนว่าเราจะต้องเป็นฝ่ายดูแลและพาเขากลับบ้านแทน ฉันและเพื่อนสาวชาวเยอรมันเห็นท่าไม่ดี เราสองคนจึงตกลงกันว่า เราควรจะหยุดดื่มเพื่อสามารถที่จะพาเพื่อนๆคนอื่นกลับได้ เราจึงออกไปดื่มน้ำเปล่าและสูดอากาศข้างนอกเต็นท์ ก่อนกลับเข้ามานั่งจิบเบียร์แก้วยักษ์แก้วสุดท้ายช้าๆชะลอจนถึงเวลากลับ รวมๆแล้วถ้าจำไม่ผิดฉันดื่มไป 3 หรือ 4 ลิตรนี่แหละ นับเป็นการทำลายสถิติการดื่มเบียร์มากที่สุดในชีวิตของฉันในหนึ่งวัน (แล้วยังคงมีสติ ไม่เมา แถมยังดูแลและพาเพื่อนๆที่อาการหนักอีกสี่คนกลับถึงอพาร์ทเม้นต์เช่าได้อย่างปลอดภัย)
นับเป็นความภูมิใจที่ครั้งหนึ่งสามารถรอดชีวิตมาจากเทศกาลงานเบียร์ระดับชาติเยอรมันได้ เพราะถ้าใครที่รู้จักฉันดีจะรู้ว่าฉันอ่อนมาก เวลาเล่าให้เพื่อนและเจ้านายชาวเยอรมันฟังทุกคนก็ดูจะภูมิใจในตัวฉันที่สามารถปรับตัวให้กับชีวิตในเมืองเบียร์ได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญ เป็นประสบการณ์ชีวิตที่สนุกสนานมาก ความจริงแล้วพวกเรามีเรื่องเล่าและความลับมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างงาน ที่เราหกคนขอเก็บเอาไว้เล่าและเผากันเองในกลุ่ม
ไว้เจอกันใหม่โอกาสหน้า Prost !!!