การเดินทางกับความรัก…
มีอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน คือ เราไม่มีทางรู้หรอกว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร สิ่งที่เราทำได้คือการมีความสุขกับปัจจุบัน เรียนรู้และปรับตัวไปกับเส้นทางที่เราเลือกเดิน
ยิ่งเป็น “รักระยะไกล” ความรักของคนสองคนที่ต่างยังต้องเดินทางไปบนเส้นทางของตัวเอง เมื่อมีจังหวะและโอกาสที่นานๆทีเส้นทางทั้งสองจะมาตัดพบเจอกันบ้าง คนสองคนนั้นก็คงอยากใช้ช่วงเวลาสั้นๆที่ได้เดินทางด้วยกันให้มันมีคุณค่าและเป็นความทรงจำที่ดีที่สุด
และนี่ก็เป็นอีกการเดินทางหนึ่ง ที่ฉันได้มีโอกาสได้ไปเดินเขาข้างๆกันกับเขา…
ณ ขุนเขาที่ได้ชื่อว่า The Real Top of Europe
ฉันและเขา เรารักการเดินทางเหมือนกัน แต่ในความเหมือนมันก็มีความต่าง
ฉันเป็นลูกทะล แต่รักที่จะพาตัวเองไปอยู่กลางป่ากลางเขา
ส่วนเขา เกิดในหุบเขา แต่ชอบพาตัวเองไปดำน้ำ เล่นเซิร์ฟโต้คลื่นทะเล
การเดินทางครั้งนี้ เราเลือกไปเมืองกลางหุบเขาที่เป็นบ้านเกิดของเขา เพื่อทำกิจกรรมเดินเขาที่ฉันชอบ
Chamonix กลางอ้อมกอดแห่งขุนเขา
หากพูดถึงยอดเขา Mont Blanc คิดว่าใครๆก็คงได้ยินชื่อเสียงเรียงนาม เพราะได้ชื่อว่าเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรป ด้วยระดับความสูงถึง 4810 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ตั้งอยู่ในเทือกเขาแอลป์ของประเทศฝรั่งเศส จนได้ขนานนามว่า The Real Top of Europe ที่ถูกเรียกอย่างนี้เพราะมีอีกหลายเขาที่แอบอ้างใช้ชื่อ Top of Europe เหมือนกัน
เมืองชาโมนี (Chamonix) เป็นเมืองที่เปิดประตูต้อนรับนักเดินทางที่ต้องการมาชื่นชมยอดเขา Mont Blanc ด้วยทำเลที่ตั้งที่อยู่ท่ามกลางขุนเขา มีสายน้ำไหลผ่านกลางเมือง มีกิจกรรมสนุกๆ ทั้งกิจกรรมในฤดูหนาว อย่างการเล่นสกี สโนว์บอร์ด หรือกิจกรรมเดินเขา ปีนเขา ปั่นจักรยานในฤดูร้อน เมืองเล็กๆนี้จึงมีมนต์เสน่ห์มากมาย
ชาโมนีเป็นเมืองเล็กๆแต่ไม่ได้เงียบเหงา เพราะมีนักท่องเที่ยวมาเยือนเกือบทั้งปี มีร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ให้บริการครบครัน เป็นเมืองที่ทั้งน่าอยู่และน่าเที่ยวเลยค่ะ
การเดินทางมาเมืองชาโมนีทำได้หลายทางค่ะ สำหรับคนที่เดินทางมาจากปารีส ก็สามารถเดินทางมาได้ด้วยรถไฟความเร็วสูง (TGV) หรือจะเช่ารถขับมาก็สุดคุ้มเพราะวิวสองข้างทางและเมืองเล็กๆใกล้เคียงสวยงามมาก สำหรับคนที่เดินทางมาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีรถบัสบริการจากสนามบินเจนีวา (Geneva) ซึ่งมีให้เลือกหลายบริษัทค่ะ แต่ขอแนะนำ Chamexpress ราคาบริการอาจจะสูงกว่าบริษัทอื่น แต่ที่แนะนำเพราะบริการดี ตรงเวลา และรับส่งถึงโรงแรมที่พักค่ะ
Mont Blanc – The Real Top of Europe
หากอยากพิชิตยอดเขา Mont Blanc เราต้องปีนหรือไต่ภูเขาหิมะขึ้นไปค่ะ ซึ่งการปีนเขาสูงระดับโลกแบบนี้ต้องมีความเชี่ยวชาญเพราะอันตรายมากเหมือนกัน หากเพียงต้องการแค่ไปยืนชื่มชม Mont Blanc ก็ไม่ยากจนเกินไป จากเมือง Chamonix นั่งเคเบิ้ลคาร์ขึ้นไปยังยอดเขา Aiguille du Midi ที่ระดับความสูง 3842 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เป็นจุดชมวิวที่เห็น Top of Europe ได้ใกล้ตาที่สุด เมื่อขึ้นไปถึงตรงนั้น เราจะรู้สึกว่าอยากหยุดเวลาไว้ แม้เริ่มเข้าสู่ฤดูร้อน แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บของภูเขาหิมะ ด้านบนมีจุดชมวิวหลายจุด แบบ 360 องศา
บนที่แห่งนั้น ฉันรู้สึกอยู่บนสรวงสวรรค์ เพราะอยู่ใกล้กับท้องฟ้ามาก
จนอยากหยุดเวลาไว้ตรงนั้น
และอยากให้ทุกคนได้ไปเห็นภาพแบบนี้กับตาด้วยกัน เพราะของจริงมันสวยงามเกินกว่าที่เลนส์จากกล้องถ่ายรูปสามารถเก็บมาฝากได้
จากจุดชมวิวบนยอดเขา Aiguille du Midi สามารถมองเห็นเขา Brevent ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามที่สกีรีสอร์ทชื่อดังได้อย่างสวยงามอีกด้วยค่ะ หากมองจากบนยอดนี้เราจะเห็นเมืองชาโมนีตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างยอดเขา Aiguille du Midi และยอดเขา Brevent นั่นเอง
การเดินทางขึ้นมาบนยอดเขา Aiguille du Midi สามารถตรวจสอบตารางเวลาและค่าบริการเคเบิ้ลคาร์ได้จากเว็บไซต์นี้ค่ะ ในช่วงฤดูร้อนตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายนไปจนถึงเดือนตุลาคม จะมีเคเบิ้ลคาร์ให้เลือกหลายเส้นทางเลยค่ะ อีกเส้นหนึ่งที่ฉันพลาดไปเพราะยังอยู่ในช่วงที่ปิดบริการคือเส้นทาง Panoramic Mont Blanc ซึ่งจะได้เห็นวิวเทือกเขาแอลป์แบบพาโนรามา และยังได้ข้ามไปยังเทือกเขาฝั่งประเทศอิตาลีด้วย
เดิน(เคียง)เขา Plan de l’Aiguille Walk
หลังจากชื่นชมวิวภูเขาและยอดเขา Mont Blanc จนอิ่มใจ แม้จะพลาดการเดินเขาบนยอดเขาเพราะหลายๆเส้นทางยังคงถูกปกคลุมด้วยหิมะ ซึ่งอาจจะอันตรายจนเกินไป ไหนๆก็เตรียมตัวมาเดินเขาแล้ว เราก็เลยตัดสินใจเดินลงเขาแทนการนั่งเคเบิ้ลคาร์กลับลงมาสู่เมืองชาโมนีแทน เราตั้งต้นการเดินกันที่สถานีเคเบิ้ลคาร์ PLAN DE L’AIGUILLE
เส้นทางนี้ไม่ยากจนเกินไป ความยากอยู่ในระดับปานกลาง เพียงแค่ต้องเตรียมรองเท้าเดินเขามาด้วย เพราะมีบางช่วงที่ลื่นและชันต้องไต่แทนการเดินลง แต่รับรองว่าวิวทิวทัศน์ที่ได้เห็นนั้นคุ้มค่ากับเหงื่อที่เสียไปแน่นอน ช่วงแแรกๆเราจะได้เห็นวิวภูเขาหิมะเป็นฉากหลัง มีวิวภูเขา Brevent อยู่เบื้องหน้า และมีเมืองชาโมนีอยู่เบื้องล่างไกลๆ
เดินลงเขากันมาได้สักพัก เราก็เจอจุดพักเหนื่อยที่ไม่แวะก็คงไม่ได้ Refuge Plan de L’aiguille เพราะทำเลดีเหลือเกิน เราเลยตัดสินใจแวะพักทานอาหารเที่ยงกันที่นี่ รสชาตอาหารพอใช้ได้แต่วิวและบรรยากาศนี่อร่อยสุดคุ้ม
Refuge Plan de L’aiguille ตั้งอยู่บนความสูง 2207 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล นอกจากเป็นร้านอาหารและคาเฟ่บนเขาแล้ว ที่นี่ยังมีที่พักให้บริการสำหรับนักเดินทางที่ต้องการพักผ่อนด้วยค่ะ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่เลย Mountain Hut Chamonix
หลังจากอิ่มท้อง นอนเอนหลังพักกายให้พอหายเหนื่อย เราก็ออกเดินลงเขากันต่อ ช่วงที่สองนี้เราจะเริ่มเข้าสู่ป่าสน เส้นทางเดินเลยร่มรื่นมากขึ้น ถึงแม้จะถูกปกคลุมไปด้วยป่าสน แต่ก็มีจุดชมวิวสวยๆให้ได้พักสายตาอยู่เป็นระยะๆ
เราใช้เวลาเดินประมาณสามชั่วโมงก็จะเริ่มเห็นเมืองชาโมนีที่อยู่เบื้องล่างใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สามชั่วโมงที่รวมแวะพักทานอาหารเที่ยง แวะถ่ายรูป แวะพักเหนื่อย (เนียนๆทำเป็นชมวิว ถ่ายรูปไปเรื่อย) เป็นครั้งคราว ก่อนที่เราจะมาสิ้นสุดการเดินลงเขาใกล้ๆกับสถานีขึ้นเคเบ้ลคาร์ไปยอดเขา Aiguille du Midi
นับเป็นเส้นทางเดินเขาอีกเส้นทางหนึ่งในยุโรปที่อยากแนะนำ เส้นทางสะดวก วิวสวยอลังการ และถ้ามี “เขา” มาเดินเคียงข้างกัน เส้นทางนี้ก็น่าประทับใจควรค่าแก่การเก็บไว้ในความทรงจำเข้าไปอีก แม้จะมาคนเดียวหรือมาเป็นกลุ่ม ก็เป็นเส้นทางที่นักเดินเขาควรจะมาสัมผัสสักครั้งนึงค่ะ
Fly like a bird ประสบการณ์บิน
“หากฉันบิน บินไปได้อย่างนก ฉันจะบิน บินไปในนภา”
เราเคยรู้สึกว่า นกเป็นตัวแทนแห่งความอิสระ หลายๆคนจึงมีความใฝ่ฝันว่าอยากติดปีกบินไปไหนก็ได้เหมือนอย่างนก แต่มนุษย์ก็ยังคงเป็นมนุษย์ค่ะ แม้จะแปลงร่างเป็นนกไม่ได้ มนุษย์ก็สามารถสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์มากมายเพื่อให้เราได้ไปอยู่ในสถานการณ์สมมุติ สมมุติว่า “ถ้าเราบินได้อย่างนก เราจะรู้สึกอย่างไนกันนะ”
เมื่อมาอยู่ท่ามกลางเทือกเขาแอลป์ ฉันก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากบอกเล่าความฝันกับคนข้างๆว่า อยากลองเล่น “Paragliding” ภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า “Parapente” หรือแปลเป็นไทยชื่อแปลกๆแต่ตรงๆว่า “ร่มร่อน” เคยคิดจะลองหลายครั้งและหลายที่แล้ว แต่จังหวะและสภาพอากาศไม่เป็นใจสักที คนข้างๆแหงนขึ้นไปมองฟ้าแล้วบอกว่า ช่วงนี้อากาศดี เหมาะกับการเล่นร่มร่อน และนานแล้วเหมือนกันที่เขาห่างหายจากการบิน เราจึงแตะมือตกลงกันไปทำความฝันของฉันให้เป็นจริงสักที ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถบินได้ด้วยด้วยเอง แต่ไม่มีใบอนุญาติให้พาคนอื่นร่วมบินไปด้วย แต่เพื่อความปลอดภัยและสนุกสุดขีดของทั้งสองคน เราจึงต้องแยกย้ายกันบิน ฉันเลือกใช้บริการของบริษัททัวร์ที่มีให้เลือกมากมายในตัวเมืองชาโมนี ที่ให้บริการ “Paragliding” พร้อมกับนักบินผู้เชี่ยวชาญ
เช้าวันที่ท้องฟ้าและอากาศเป็นใจ ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความสดใสและตื่นเต้นกับประสบการณ์บินครั้งแรกของตัวเอง หลังจากนัดแนะกับบริษัททัวร์แล้ว เราก็นั่งเคเบิ้ลคาร์ขึ้นไปยังสถานี PLAN DE L’AIGUILLE อีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ได้เพื่อเดินลงเขา แต่เพื่อบินลงเขา ที่นี่เป็นจุดนัดพบกับนักบินและเป็นจุดตั้งต้นการบินด้วยร่มร่อน หลังจากฝากฝังฉันไว้กับนักบินของฉัน Caroline เขาก็แยกตัวออกไปบินเดี่ยว ฉันได้แต่ยืนมองเขาบินร่อนทยานขึ้นสู่ท้องฟ้าตาปริบๆ
หลังจากจัดเตรียมอุปกรณ์การบินเรียบร้อยแล้ว Caroline ก็หันถามฉันว่า “Are you ready?” ฉันตอบ Yes ไปเสียงดังทั้งๆที่แอบหวั่นๆในใจ แล้วเธอก็เรียกฉันให้ไปใกล้ๆ Caroline เป็นนักบินสาวที่ดูทะมัดทะแมงและแข็งแรงมาก เธอและสามี Lionel เปิดบริษัทเล็กๆของตัวเองให้บริการคนอยากบิน หลังจากทำการแนะแนวทฤษฎีการบิน เธอจัดแจงอุปกรณ์นู่นนี่นั่นบนตัวฉัน แล้วให้ฉันออกวิ่งแรงๆ เพราะตอนเริ่มบินเราต้องผสานกำลังกันวิ่งลงเขาเพื่อออกแรงส่งให้ลอยจากพื้นสู่อากาศ เมื่อซักซ้อมกันได้ที่แล้ว Caroline ลูบไหล่ฉันเบาๆ แล้วปลอบว่า “Just relax, you will be alright” ก่อนจะนับ 1 2 3 ให้เริ่มออกวิ่ง ณ วินาที สมองฉันมันตื้ออื้ออึงไปหมด มันหวาดๆกลัวๆกังวลๆปนเปกันบอกไม่ถูก มารู้ตัวอีกทีฉันก็ลอยละล่องอยู่ในอากาศแล้ว
ณ จังหวะที่อยู่ลอยละล่อง ฉันรู้สึกได้ถึงความอิสระด้วยใจที่ล่องลอย ด้วยสายตาที่สามารถมองบรรยากาศรอบๆกายในมุมสูง มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ
Where freedom has no limits…
เราเริ่มบินเข้าสู่เวิ้งตรงกลางระหว่างยอดเขา Aiguille du Midi และยอดเขา Brevent ที่มีเมืองชาโมนีอยู่เบื้องล่าง สักพักลมแรงๆก็พัดมา เป็นบททดสอบความกลัวของฉัน ลมพัดแรงทำให้เราบินหมุนติ้วๆชวนให้ปวดหัวมวนท้อง แต่ Caroline ก็สามารถประคับประคองให้บินแรกของฉันผ่านไปอย่างราบรื่น เมื่อลมสงบ เราก็กลับเข้าสู่โหมดการบินเรื่อยๆชิลล์ๆ เราเริ่มเปิดบทสนทนาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันคร่าวๆ ไม่น่าเชื่อว่า Caroline จะอายุ 50 ปีแล้ว เพราะเธอยังแข็งแรงอยู่มาก อาจจะเป็นเพราะเธอบินและออกกำลังกายทุกวัน เธอและสามีชื่นชอบประเทศไทยและยิ้มสยามมาก เป็นอีกเรื่องราวหนึ่งที่ฉันรู้สึกดีจนยิ้มแก้มปริทุกครั้งเวลามีคนบอกว่า “I love Thailand” “Your country is so beautiful” หรือ “Thai people is very nice, I love Thai smiles”
แล้วเราก็บินข้ามมาถึงฝั่งเขา Brevent ซึ่งฉันได้ลองบังคับการบินเป็น Pilot บังคับให้เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา มันก็สนุกดี แต่ฉันชอบให้ Caroline เป็นนักบิน แล้วฉันนั่งสบายๆชมวิวเพลิดเพลินมากกว่า เราใช้เวลาอยู่บนฟ้าประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก่อนจะค่อยๆพุ่งกลับลงมาสู่พื้นดินบนลานหญ้าห่างออกไปจากตัวเมืองชาโมนีเล็กน้อย
ฉันเริ่มรู้สึกติดใจกับการเล่นร่มร่อน ไว้มีโอกาสจะขอลองสมมุติตัวเองเป็นนกดูอีกสักที
ขอบคุณ Caroline และ Lionel ที่ทำให้ประสบการณ์บินครั้งแรกของฉันผ่านไปได้ด้วยความสนุกและปลอดภัย
ขอบคุณเขา ที่ทำให้ฉันได้มีโอกาสได้บินอย่างนก…ดูสักครั้ง แถมยังกระตุ้นต่ออีกว่าคราวหน้าให้ไปลอง Sky drive เลยดีกว่า น่าสนใจไม่น้อย ขอเก็บตังค์ก่อน
สนใจลองบินอย่างนก กับ Caroline และ Lionel ติดต่อสอบถามรายละเอียดและราคาได้ที่นี่ค่ะ
เดิน ข้าง เขา Trek along the Petit Balcon Sud
วันสุดท้ายที่ชาโมนี เราตั้งใจอยากไปเดินเทรคกิ้งบนยอดเขา Brevent ซึ่งบนนั้นมีเส้นทางเทรคกิ้งไปยังทะเลสาบสวยๆบนเขาหลายเส้นทางเลยค่ะ แต่เคเบิ้ลคาร์ขึ้นยอดเขา Brevent ยังคงปิดบริการอยู่ (เริ่มเปิดกลางเดือนมิถุนายน ของทุกปี) หากเดินเท้าขึ้นไปต้องใช้เวลา 6-7 ชั่วโมง กว่าจะเดินกลับลงมาอีก6-7 ชั่วโมง เราคงไม่มีแรงเดินทางกลับ เราเลยเลือกเส้นทางเดินเขาสั้นๆ เป็นเส้นทางที่เหมือนเดินอยู่บนระเบียงเลียบไปข้างๆเขา Brevent เรียกว่า the Petit Balcon Sud
จุดเริ่มต้นของเส้นทางนี้อยู่ที่สถานีเคเบิ้ลคาร์ขึ้นไปยังยอดเขา Brevent ที่ปิดให้บริการอยู่นั่นแหละค่ะ โดยช่วงแรกเราจะต้องออกแรงเดินขึ้นเขากันนิดนึง แต่เพียงไม่นานก็จะเริ่มเป็นเส้นทางราบที่เลาะข้างๆเขาไปเรื่อยๆ
เส้นทางนี้เหมือนเราเดินอยู่บนระเบียงธรรมชาติจริงๆ เดินขนานไปกับยอดเขา Aiguille du Midi ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เราจึงได้เห็นวิวสวยๆของเทือกเขาแอลป์ไปเกือบตลอดเส้นทาง จนอดไม่ได้ที่จะจินตนาการไปว่า ถ้าบ้านเรามีระเบียงบ้านที่เห็นวิวภูเขาแบบนี้ก็คงจะดีไม่น้อย
เราเดินเล่นบนระเบียงเขากันอยู่ราวสองชั่วโมง ก็เดินกลับลงมาใกล้สถานีเคเบิ้ลคาร์เช่นเดิม ทางลงอาจจะชันและลื่นๆหน่อย แต่มีดอกไม้ดอกหญ้าสวยๆเบ่งบานให้กำลังใจ
มีคนบอกว่าการเดินอยู่ท่ามกลางธรรมชาติจะทำให้มนุษย์เราเป็นสุข เพราะรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ และการมีใครสักคนที่เราอยู่ด้วยแล้วสบายใจเดินอยู่ข้างๆกัน ความสุขนั้นก็ทวีขึ้นเป็นสองเท่า เดินทางคนเดียวมันก็สุขและสนุกไปอีกแบบ แต่การเดินทางที่มีใครสักคนเดินไปข้างๆกัน มันก็ให้ความสุขและสนุกอีกแบบหนึ่ง เช่นกัน
ช่วงเวลาสั้นๆที่นักเดินทางสองคนได้โคจรกลับมาเจอและใช้เวลาด้วยกันอีกครั้งในเมืองสวยชาโมนี ได้ถูกบันทึกไว้เป็นความทรงจำดีๆร่วมกัน ก่อนที่ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่บนเส้นทางของตน
การเดินทางจะใกล้หรือไกล ไม่สำคัญเท่า “ใคร” ที่เดินไปด้วยกัน