วันนี้ได้คุยกับพี่ในวงการหนังสือที่นับถือคนหนึ่ง จู่ๆเค้าก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ใกล้วาเลนไทน์แล้ว พี่อยากให้จุ๊ลองเขียนเรื่องเกี่ยวกับความรักดูบ้าง” ฉันตอบไปขำๆว่า “วาเลนไทน์นี่ไม่มีความสำคัญกับจุ๊มาตั้งแต่วัยมัธยมแล้วนะคะ ฮ่าาา” “พี่แค่อยากให้จุ๊ลองเปลี่ยนแนวเขียนเรื่องอื่นดูบ้าง ประมาณความรักกับการเดินทาง อะไรแบบนี้ก่อนก็ได้” ฉันได้แต่ตอบไปว่า “จะไหวเหรอ เรื่องความรักของจุ๊เนี่ยะดราม่าเยอะนะ แบบเอาไปทำซีรี่ส์คลับฟรายเดย์ได้เลย แล้วถ้าเขียนมาเนี่ยะ ก็จะรู้กันหมดเลยนะว่าใครเป็นใคร คนรู้จักกันทั้งนั้น พาดพิงกันจะดีเหรอ” “ลองดูสิ พี่อยากอ่าน พี่เชื่อว่า ถ้าจุ๊ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง จุ๊ก็จะเขียนมันออกมาได้ดี”
และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเปิดไดอารี่ออกมาเขียนเรื่องนี้ ไม่มีสคริปต์ ไม่มีการวางโครงเรื่องมาก่อน รื้อฟื้นความทรงจำ ถ่ายทอดออกมาให้อ่านกันสดๆ เพราะฉันคิดว่า ฉันพร้อมแล้วที่จะซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง…
ผ่านมาจนอายุเลยกิโลเมตรที่สามสิบ ได้พบเห็น ได้เรียนรู้ ได้รู้จักกับความรักหลายรูปแบบ ทั้งจากประสบการณ์ตรงด้วยตัวเอง และจากคนรอบตัว ฉันอาจเป็นคนที่โชคดีมีโอกาสในหลายๆอย่าง แต่กับความรัก ฉันไม่ค่อย Lucky in love สักเท่าไหร่ แต่ในวัยที่เมื่อมองย้อนกลับไปมองความรักครั้งเก่า ฉันก็ยิ้มและหัวเราะให้กับมันได้
ความรักแบบลูกหมา My puppy love
หากบอกว่าฉันมีแฟนคนแรกตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมฯ หลายคนคงคิดว่าเด็กจัง ใช่ค่ะ ตอนนั้นยังเด็กมาก หากมองย้อนกลับไป ฉันคิดว่าตอนนั้นฉันยังไม่รู้จักความรักเลยด้วยซ้ำ นี่แหละมั้งที่ผู้ใหญ่เรียกความรักในวัยนี้ว่า “ความรักแบบลูกหมา”
ตอนนั้นฉันก็เหมือนเด็กวัยมัธยมเปรี้ยวอมหวานคนนึง ที่เริ่มสนใจเพศตรงข้าม เริ่มแอบชอบกรี๊ดกร๊าดรุ่นพี่ และเริ่มมีคนเข้ามาจีบ ตอนนั้นแอบเป็นสาวฮอตกับเค้าด้วย ทั้งๆที่เป็นเด็กสาวหน้าตาบ้านๆตัวดำๆคนนึง แต่อาจเป็นเพราะนิสัยง่ายๆเลยสนิทและเข้ากับเพื่อนผู้ชายได้ดี ผู้ชายที่เข้ามาจีบก็เลยมีแต่เพื่อนๆกันทั้งนั้น ตอนนั้นฉันมีเพื่อนชายที่สนิทมากคนนึง เป็นเพื่อนห้องเดียวกันตอนม.ต้น ซึ่งเค้าก็ออกตัวแรงจีบเราตั้งแต่แรก แต่ฉันก็ยังคงดึงเกมคุยเล่นเป็นเพื่อนกันไป ถึงแม้เราสองคนจะแตกต่างกันมาก ฉันเติบโตมาจากครอบครัวข้าราชการ ส่วนเขาเป็นเด็กในเมืองลูกคุณหนูครอบครัวทำธุรกิจ แต่เราก็สนิทกันมาก แบบคุยกันได้ทุกเรื่อง จนฉันคิดว่านอกจากพ่อแม่แล้วบนโลกนี้คงไม่มีใครรู้จักฉันดีเท่าเขา พอเข้ามัธยมปลาย เราแยกห้องกันเลยเจอกันน้อยลง แต่ก็ยังคุยกันทางโทรศัพท์ทุกวันเหมือนเดิมเป็นกิจวัตรประจำวัน ฉันเองก็เริ่มฮอตขึ้น ช่วงวาเลนไทน์นี่ไม่ต้องพูดถึง มีสติ๊กเกอร์หัวใจติดเต็มชุดนักเรียน ได้รับดอกไม้ปีละหลายช่อ เขาเองก็เริ่มมีสาวมาปิ๊ง และนั่นเองที่เป็นจุดให้ฉันเริ่มกระวนกระวายใจ เหมือนหมาหวงก้าง จนเลยเถิดยินยอมให้ใช้คำว่า “แฟน”
การเป็นแฟนกันในสมัยนั้นอาจจะแตกต่างจากเด็กวัยรุ่นสมัยนี้ เราไม่เคยไปไหนมาไหนกันสองคน กินข้าว ดูหนัง ไปเที่ยวกันเป็นกลุ่มใหญ่หรือมีเพื่อนสนิทไปด้วยตลอด เราไม่เคยแม้แต่จะจับมือกัน แค่ดูแลกัน เป็นห่วงเป็นใย คุยโทรศัพท์กันทุกวัน หวานหน่อยก็ส่งข้อความกลอนรักทางเพจเจอร์ (ไม่อายโอเปอร์เรเตอร์บ้างรึไง) หรือพับนกพับดาวใส่ขวดโหลแลกกัน ช่วงนั้นฉันทุ่มเทกับการเรียนอย่างหนักเพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย ส่วนเขาไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากเพราะที่บ้านจะส่งไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย เขาก็คอยส่งข้าวส่งน้ำส่งกำลังใจให้ฉันอ่านหนังสือสอบ
จนถึงวันที่เขาต้องเดินทางไกลข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลีย ส่วนฉันก็เดินทางมาเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ สมัยนั้นการสื่อสารยังไม่รวดเร็วทันใจแบบสมัยนี้ ไม่มี Facebook ไม่มี Line ไม่มี Whatsapp ค่าโทรทางไกลต่างประเทศก็แพงแสนแพง เราเลยติดต่อกันผ่านอีเมลล์บ้าง เขียนจดหมายหากันบ้าง ตอนนั้นไปรษณีย์ไทยทำหน้าที่ได้ไวสุดก็แค่เดือนละฉบับ คลาสสิคสุดๆ และฉันก็ยังใช้ชีวิตปกติดี มีความสุขและสนุกกับชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยมาก
ประมาณปีสอง ฉันวางแผนไปเที่ยวเดินเขาที่ภูกระดึงในช่วงเวลาที่เขากลับมาเยี่ยมบ้านที่เมืองไทยพอดี ทั้งๆที่รู้ว่าเขาไม่ชอบการเดินทางลุยๆแบบนี้สักเท่าไหร่หรอก แต่มีเพื่อนสนิทไปด้วยหลายคน ฉันก็คิดถึงแต่ความสนุก การไปภูกระดึงครั้งนั้นทำให้สัมผัสได้ว่า มีอะไรบางอย่างระหว่างเราที่เปลี่ยนไป จนเราต้องหันหน้าคุยกันตรงๆและยอมรับว่า “เส้นทางชีวิตของเรามันคงไปคนละทาง ไม่มีวันเดินด้วยกันได้จริงๆ” แล้วเขาก็บินกลับไปใช้ชีวิตเรียนต่อที่ออสเตรเลีย ส่วนฉันก็ตั้งใจเรียนและทำกิจกรรมค้นหาตัวเองอยู่ในเมืองกรุงต่อไป เรายังติดต่อหากันบ้างตามวาระโอกาสสำคัญ เช่น ปีใหม่ วันเกิด รับรู้ข่าวคราวของกันและกันผ่านเพื่อนฝูงบ้าง ผ่านไปหลายปีเราต่างมีความยินดีให้กันเมื่อได้รู้ว่าต่างคนต่างได้เจอความรักครั้งใหม่หรืออาจจะเรียกได้ว่า เป็นความรักครั้งแรกของเราทั้งสองคนจริงๆก็ได้ ฉันไม่รู้หรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเราตอนนั้น แต่สิ่งที่ฉันดีใจมากที่สุดก็คือ มิตรภาพความเป็นเพื่อนของเราไม่ได้หายไปไหนเลย หลายปีต่อมาฉันไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย ก็ถือโอกาสไปเที่ยวและไปเยี่ยมเขาด้วย เขาพาฉันเที่ยวรอบๆเมืองที่เขาอยู่ พาฉันไปเส้นทางในฝัน Great Ocean Road ที่เขาเคยสัญญาว่า วันหนึ่งจะพาฉันไป ช่วงที่เดินทางด้วยกัน เรามีเวลามากพอที่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวชีวิตของกันและกัน ฉันเล่าเรื่องความรักของฉัน เขาเล่าเรื่องความรักของเขา และเราก็หัวเราะให้กับความรักแบบลูกหมาของเราไปด้วยกัน การเดินทางไปเจอเขาครั้งนั้นฉันมีความสุขที่สุด ที่ได้ไปเห็นกับตาว่าเพื่อนที่ฉันรักและผูกพันมากที่สุดในชีวิต เขามีคนรักที่ดีและพร้อมจะอยู่เคียงข้างเดินไปกับเขาจริงๆ
ความรักแบบลูกหมาของฉัน มันก็คงเริ่มต้นมาจากความผูกพัน กลายเป็นความห่วงใย ปราถนาดีต่อกัน วันนี้เรารู้จักกันมากว่า 20 ปีแล้ว ฉันกล้าพูดได้เต็มปากว่า เขายังคงเป็นคนที่รู้จักฉันดีที่สุดคนหนึ่ง
ขอบคุณสำหรับมิตรภาพดีๆระหว่างเรา และขอบคุณที่มันจะเป็นแบบนี้ตลอดไป
รักครั้งแรก My first love
ฉันมารู้จักความรักจริงๆก็ตอนเรียนมหาวิทยาลัย แบบที่มั่นใจและกล้าเรียกว่า มันคือ “ความรัก”
ฉันรู้จักกับเขาตั้งแต่ปีหนึ่ง เขาเป็นรุ่นพี่ต่างมหาวิทยาลัยแต่มาทำกิจกรรมชมรมที่มหาวิทยาลัยของฉันเป็นประจำ เราเลยเจอกันเรื่อยๆ คุยกันแซวกันแบบพี่น้อง อาจเป็นเพราะตอนนั้นเราต่างมีคนที่คบหาและเรายังไม่ใกล้กันมากพอจนได้รู้จักกันจริงๆ จนเมื่อเข้าปีที่สาม ฉันเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการจัดค่ายอาสาสร้างสนามกีฬาและสอนหนังสือให้เด็กที่โรงเรียนต่างจังหวัดแห่งนึง ซึ่งอยู่ใกล้บ้านเกิดของเขา ฉันจึงได้มีโอกาสได้รู้จักได้พึ่งพาอาศัยกับครอบครัวของเขา การทำค่ายครั้งนั้นมีปัญหาเกิดขึ้นมากมายทั้งก่อนไปค่าย ระหว่างค่าย และหลังค่าย นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราคุยกันมากขึ้น สนิทกันมากขึ้น จนกลายเป็นความรักและตัดสินใจคบหากัน
เราคบกันนานเป็นเวลาเกือบห้าปี เรียกได้ว่าคบกันแบบจริงจัง ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายรับรู้ เพื่อนฝูงก็สนิทสนม เรามีอะไรเหมือนกันหลายอย่าง นิสัยคล้ายๆกัน เติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูที่คล้ายกัน ชอบอะไรคล้ายๆกัน ชอบเที่ยวลุยๆเหมือนกัน ทะเล ภูเขา ตกปลา กางเต้นท์ ไปด้วยกันได้หมด ดูเหมือนว่าเส้นทางของเราจะราบรื่นมาด้วยดีตลอด จนมาถึงวันนึงที่เส้นทางชีวิตของเขาเริ่มขรุขระมีหลุมมีบ่อใหญ่ๆเข้ามาเป็นบททดสอบ ส่วนเส้นทางของฉันยังพอมีดอกไม้ริมทางให้รื่นรมย์อยู่บ้าง ฉันพยายามเก็บดอกไม้ไปปลูกบนเส้นทางของเขาบ้าง พยายามไปเดินบนเส้นทางอันขรุขระนั้นอยู่ข้างๆเขาบ้าง แต่ดูเหมือนว่ายิ่งเดินไป ก้าวของเราเริ่มไม่เท่ากัน เมื่อคนนึงหยุด อีกคนอยากไปต่อ เมื่อคนนึงพยายามฉุดอีกคนให้ลุกขึ้น แต่อีกคนอยากนั่งพักอยู่กับที่ เราเลยเริ่มเหนื่อย เริ่มปล่อยมือจากกัน เริ่มอยากจะแยกกันเดิน สุดท้ายฉันเองที่เป็นคนตัดสินใจปล่อยมือเดินออกมาด้วยความรู้สึกเหนื่อย ท้อ ไม่มั่นใจ ไม่มั่นคง น้อยใจ หลายๆอย่างปะปนกัน
หากมองย้อนไป ฉันรู้สึกเสียดายกับความรักครั้งนี้ หากวันนั้นเราสองคนเข้มแข็งและมั่นใจในกันและกันมากพอ เส้นทางความรักของเราคงไม่ไปถึงทางตัน
วันนี้ เราสามารถกลับมาเป็นพี่เป็นน้องกันได้ พูดคุย ห่วงใยกันอยู่ห่างๆ หลายคนพยายามจะให้เราสองคนลองกลับไปเริ่มต้นเดินด้วยกันใหม่ แต่ฉันเดินทางออกมาไกลมากแล้ว ฉันค้นพบเส้นทางเดินใหม่ที่มันต่างจากเส้นทางที่เราเคยเดินด้วยกัน ต่างจากเส้นทางที่เขากำลังเดินอยู่ และฉันก็คงกลัว กลัวว่าการกลับไปเดินใกล้ๆกันอีก มันจะทำลายมิตรภาพความเป็นพี่น้องของเรา ฉันจึงได้แต่ส่งความปราถนาดีให้เขามีเส้นทางชีวิตที่ดีและสวยงาม
หลงรัก (Obsessive love)
ส่วนใหญ่ที่ผ่านมาฉันไม่เคยตกหลุมรักใครก่อน ความสัมพันธ์ก่อนหน้านั้นมักเริ่มและพัฒนามาจากความเป็นเพื่อน จนเมื่อฉันได้เจอกับเขาคนนี้ เราเจอกันตอนเรียนปริญญาโท เป็นความรักที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เหมือนแม่เหล็กที่มีแรงดึงดูดตั้งแต่สบตากันครั้งแรก อาจเป็นเพราะเขามีบุคลิคตามแบบฉบับผู้ชายเจ้าชู้ ต่อให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยเข้มแข็งมากแค่ไหนก็สามารถหวั่นไหวได้ง่ายๆ เขาเป็นคนตรงและเป็นคนจริง ตอนที่เข้ามาจีบก็บอกกันตรงๆว่า ตัวเองเจ้าชู้ คบผู้หญิงอยู่หลายคนพร้อมกัน ไม่คิดจะคบใครจริงจังและไม่อยากผูกมัดกับใครจนถึงขั้นแต่งงาน
ถึงแม้ฉันจะรู้และเตือนตัวเองตลอดว่าอย่าเข้าไปใกล้ อย่าเล่นกับไฟ แต่สุดท้ายความรักหรืออาจจะเป็นความหลงที่ทำให้ฉันยอมเสี่ยงเลือกที่จะลองคบกับเขา และอาจจะด้วยความมั่นใจในตัวเองแบบผิดๆที่คิดว่า ฉันเป็นผู้หญิงที่ไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นของเขา วันหนึ่งฉันอาจจะเปลี่ยนเขาได้ วันหนึ่งเขาอาจจะหยุดและเดินไปกับฉันคนเดียว ตอนนั้นฉันเหมือนคนตกหลุมรักที่ตาบอด ใช้หัวใจมากกว่าสมอง จึงมองข้ามสิ่งร้ายๆที่รู้ดีว่ามันจะมีผลกระทบตามมา ฉันไม่มั่นใจกับความรักครั้งนั้นสักนิด ฉันจึงไม่ค่อยบอกใคร ไม่พร้อมที่จะบอกพ่อแม่ ไม่พร้อมที่จะบอกเพื่อนสนิท มีเพียงเพื่อนเรียนปริญญาโทที่สนิทกันบางคนที่รับรู้และมองดูอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ
ฉันพยายามดึงเขาเข้ามาเดินบนเส้นทางของฉันบ้าง พยายามเปลี่ยนวิถีชีวิตเขาจากคนเที่ยวกลางคืน ให้มาเที่ยวสวนสาธารณะ เข้าหาธรรมชาติ เข้าวัดเข้าวา อาราม โบราณสถานในแบบที่ฉันชอบ ฉันเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของเขา เริ่มเห็นเขาในมุมที่คนอื่นอาจไม่เคยได้เห็น ภาคภูมิใจที่ได้เป็นคนที่เขาไว้ใจ เปิดให้เห็นทั้งด้านมืดและด้านสว่าง แต่เส้นทางที่เราเลือกเดินไปด้วยกัน มันก็มีคนอื่นแวะเวียนเข้ามา ตลอดหนึ่งปีนั้นฉันต้องพบต้องเจอกับผู้หญิงคนอื่นๆของเขาหลายครั้ง เรียกได้ว่า สะบักสะบอมพอสมควร
จนวันหนึ่ง ฉันก็ได้คำตอบกับตัวเองว่า ฉันคงเปลี่ยนแปลงใครไม่ได้ และเขาเองก็คงไม่อยากทำร้ายฉันมากไปกว่านี้ เราจึงตัดสินใจยุติความสัมพันธ์ลงในระยะเวลาแค่หนึ่งปี ถึงแม้จะคบหากันแค่ปีเดียว แต่ฉันกับรู้สึกเสียใจกับความรักครั้งนี้มากกว่าครั้งไหนๆ จนไม่แน่ใจว่ามันคือความรักหรือความหลงกันแน่
ฉันทำใจรักษาตัวเองอยู่นานก็ยังไม่ค่อยดี บวกกับตอนนั้นกำลังอยากลาออกจากงานเพื่อไปเรียนต่อและลองใช้ชีวิตต่างประเทศด้วยตัวเองดูเป็นครั้งแรก ยอมรับว่าการเปลี่ยนเส้นทางชีวิตตัวเองครั้งใหญ่ครั้งนั้น มีเหตุผลของการหนีและการรักษาแผลใจเป็นเหตุผลรองลงมาจากการไปเรียนต่อ
หนึ่งปีกว่าๆที่ฉันใช้ชีวิต เรียน และเดินทางท่องเที่ยวอยู่ที่ออสเตรเลีย มันอาจจะช่วยเยียวยารักษาแผลให้ดีขึ้นบ้าง แต่มันก็กลายเป็นแผลเป็นแผลใหญ่ ที่คอยเตือนใจและทำให้ฉันกลัวการเริ่มต้นใหม่กับใครสักคน จากวันนั้นผ่านไป 2 ปีฉันได้ยินข่าวว่าเขากำลังจะแต่งงาน ฉันรู้สึกยินดีที่เขาได้เจอคนที่ทำให้เขาหยุดและเลือกที่จะเดินไปกับใครเพียงหนึ่งคน วันหนึ่งฉันยอมคุยกับเขา เพราะคิดว่าฉันให้อภัยเขาได้หมดแล้ว เขาขอโทษและขอให้ฉันให้อภัยกับสิ่งที่เขาทำ การที่เขาปล่อยมือจากฉันมันอาจไม่ได้แปลว่าไม่รัก แต่มันเป็นเพราะรักจนไม่อยากทำร้ายกันอีก
ความรักครั้งนั้นสอนให้ฉันรู้ว่า อย่าคิดที่จะเปลี่ยนแปลงใคร และหากรักคือการให้อภัย วันนี้ฉันให้อภัยเขาหมดแล้วจริงๆ
รักที่ไม่ชัดเจน (Complicated love)
การตัดสินใจไปเรียนต่อที่ออสเตรเลียเป็นเหมือนจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของฉัน นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้เป็นเวลาหกปีกว่าแล้วที่ฉันได้ออกเดินทางและใช้ชีวิตไกลบ้านอยู่ต่างแดนคนเดียว หลังเรียนจบที่ออสเตรเลีย ฉันตัดสินใจกลับมาเป็นมนุษย์เงินเดือนทำงานที่สิงคโปร์ และทำให้ฉันได้เจอเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่เขาคอยช่วยเหลือ ให้คำปรึกษา และทำให้ฉันตั้งหลักบนเส้นทางชีวิตเส้นใหม่ได้อย่างรวดเร็ว เราสนิทกันเร็วมาก เร็วจนน่าตกใจ เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ฉันกลัวและไม่ค่อยเปิดรับใครเข้ามาง่ายๆ อาจจะด้วยบุคลิกขี้เล่น เป็นกันเอง คุยเก่ง คาสโนว่า แบดบอย เลยทำให้ฉันชอบเขาขึ้นมาแบบไม่ทันตั้งตัวเหมือนกัน
แต่ด้วยความที่เราทำงานอยู่แผนกเดียวกัน มันเลยเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เราระมัดระวังความสัมพันธ์ของเรามากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกับที่ทำงาน เรื่องระหว่างเราตอนนั้นมันเลยดูซับซ้อน เวลาทำงานด้วยกันเราก็จะเหมือนเพื่อนร่วมงานปกติ นอกเหนือเวลางานเราก็ไปไหนมาไหนด้วยกัน เขาก็บอกใครๆว่า ฉันเป็นเพื่อนสนิท (best friend) แต่เมื่อหลุดออกไปจากโลกที่ทำงาน เขาให้ความสำคัญกับฉันมากกว่าเพื่อนสนิท เขาพาฉันไปอยู่ในโลกของเขาเพราะเขาอยู่ที่สิงคโปร์มานานกว่าสิบปี เขาทำให้ฉันสนิทกับเพื่อนสนิทของเขาเกือบทุกคน เขาพาฉันไปแนะนำและทำความรู้จักกับครอบครัว จนฉันสนิทกับพ่อแม่และญาติเขามาก เขาทำให้โลกใบใหม่ที่สิงคโปร์ของฉันแวดล้อมไปด้วยตัวเขา เพื่อนสนิทและครอบครัวเขารู้จักฉันในฐานะ “แฟน” แต่ที่ทำงานทุกคนรับรู้แค่ว่าเราเป็น “เพื่อนร่วมงานที่สนิทกันมาก”แค่นั้นเอง ฉันรู้ว่าเขายังไม่พร้อมที่จะเปิดเผยความสัมพันธ์ที่อาจจะมีผลอย่างจังกับหน้าที่การงานและยอมรับในการตัดสินใจนั้น จนวันนึงเมื่อมีโอกาสเข้ามาที่จะทำให้เขาได้เติบโตขึ้นในตำแหน่งหน้าที่การงาน ฉันก็สนับสนุนเขาเต็มที่ แม้ว่าโอกาสนั้นจะนำมาซึ่งความห่างไกลของเรา
เขาได้ย้ายไปทำงานต่างประเทศแถบตะวันออกกลาง เราคุยกันว่ามันอาจจะเป็นโอกาสดีๆที่เขาจะได้เติบโตในสายอาชีพและมันอาจเป็นผลดีกับความสัมพันธ์ของเราเพราะไม่ต้องทำงานด้วยกันโดยตรง ความรักระยะไกลระหว่างเราผ่านไปด้วยดีในช่วงแรกๆ มันเหมือนยิ่งห่าง เราก็ยิ่งอยากเจอ อยากคุย และคิดถึงกันมากขึ้น เราจึงคุยกันบ่อยยสนิทกันเหมือนเดิม ฉันยังไปมาหาสู่กับเพื่อนๆและครอบครัวของเขาเหมือนปกติ ที่ทำงานก็เริ่มสนับสนุนจับคู่ให้เราบ้าง (โดยที่ไม่รู้หรืออาจจะแอบรู้ว่า เราคบกันอยู่) มันจึงเป็นความสุขบนความอึดอัดและไม่ชัดเจน ด้วยความที่เป็นผู้หญิง ฉันก็คงทำอะไรมากไม่ได้นอกจากรอให้ถึงวันที่เขาพร้อมบอกกับใครๆถึงความสัมพันธ์ของเรา เราตกลงกันว่า เราจะคบกันเป็นแฟนที่เหมือนเป็นเพื่อนสนิท ไว้ใจกัน คุยกันได้ทุกเรื่อง มีอะไรจะไม่ปิดบังกัน หากวันนึงเราเลิกกันจะได้เป็นเพื่อนกันได้
ฉันอยู่กับความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนนี้เป็นเวลาปีกว่าๆ และถึงแม้จะอยู่ไกล ฉันก็ไม่หวั่นไหวในความสัมพันธ์ เพราะเทคโนโลยีทำให้เราคุยกันได้ทุกวัน เห็นหน้ากันทางเฟสไทม์บ่อยๆ โดยที่ไม่ได้เคลือบแคลงระแวงใจเลยว่าเทคโนโลยีที่ทันสมัยนี้ก็อาจจะทำให้เขาคุยกับใครคนอื่นได้ง่ายๆเหมือนกัน แล้ววันหนึ่งที่เขาเดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านและครอบครัว เราวางแผนไปเที่ยวบาหลีด้วยกัน แต่ฉันจับอาการที่ผิดสังเกตก่อนเดินทางและได้เห็นกับตาว่า เขาคุยและคบหากับผู้หญิงอีกคนหนึ่งด้วย ซึ่งเมื่อเจอกันจังๆ เขาก็ยอมรับว่าเริ่มกลับไปคุยและคบหากับแฟนเก่าเมื่อไม่นานมานี้ ฉันคิดว่ามันคงไม่ใช่เพราะระยะทางที่ห่างไกลกัน แต่มันคงเป็นใจเขาเองที่ไม่ชัดเจนตั้งแต่แรก เขาจึงเลือกที่จะกลับไปคบกับแฟนเก่า และขอให้เราเลิกติดต่อกัน แม้แต่ความเป็นเพื่อนก็ขอให้จบ สำหรับฉัน สิ่งที่เจ็บกว่าการได้รู้ว่าเขามีคนอื่น ก็คือ การรู้ว่าเขาผิดสัญญา สัญญาที่ว่าจะไม่โกหกกัน พูดกันตรงๆ และสัญญาที่ว่าถ้าเลิกกันให้เรายังเป็นเพื่อนกันได้ การทำใจจากความรักครั้งนี้ยากอยู่เหมือนกัน ยากตรงที่รอบตัวฉันยังอยู่กับสิ่งแวดล้อมเดิมๆ เพื่อนๆของเขาที่กลายเป็นเพื่อนสนิทของฉัน ครอบครัวของเขาที่สนิทกับฉันและอยู่ใกล้ฉันมากกว่าเขา แต่ฉันโชคดีที่คนเหล่านั้นเข้าใจ ทำตัวเป็นกลางและช่วยกันประคับประคองให้ฉันผ่านมันไปได้โดยที่ไม่ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเรา
ทุกวันนี้ ฉันยังมีเพื่อนสนิทของเขาเป็นเพื่อนสนิทของฉัน ครอบครัวของเขายังคงติดต่อหาฉันโดยที่เราไม่พูดคุยกันเรื่องเขา ฉันและเขายังเป็นเพื่อนร่วมงานที่ติดต่อและพูดคุยกันบ้างตามวาระโอกาส เรากลับมาเป็นเพื่อนกันได้ แต่เป็นเพื่อนธรรมดาที่ไม่มีคำว่า best friend มาให้กังวลใจ และเขาก็ยังมีความสัมพันธ์กับรักครั้งใหม่ที่ไม่ชัดเจนเพราะหน้าที่การงานที่เขาเลือก เขากำลังจะย้ายไปทำงานไกลที่อเมริกา ฉันก็ได้แต่หวังว่าวันหนึ่ง เขาจะชัดเจนกับความรัก กับใครสักคน สักที
รักระยะไกล (Long distance relationship)
หลังจากผ่านพบและผิดหวังมาหลายรูปแบบ ฉันเริ่มไม่ตั้งความหวังกับความรัก ไม่โหยหา ออกเดินทาง ค้นพบตัวเอง และมีความสุข จนถึงขึ้นเสพติดกับการใช้ชีวิตคนเดียว ใช้ชีวิตโสดๆแบบสุขมากๆ จนเป็นความเคยชิน เป็นความสบายตัว เป็นความสบายใจแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อาจเป็นเพราะฉันเปิดใจให้กับโลกกว้างใบนี้ เปิดใจให้กับเพื่อนใหม่ที่ฉันพบเจอจากการเดินทาง และยังได้รับความรักความอบอุ่นจากครอบครัวเพื่อนฝูงที่เมืองไทย จนไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองขาดอะไรเลย เป็นเวลาสี่ปีเต็มจนฉันคิดว่า ฉันจะเป็นโสดไปตลอดชีวิตก็คงได้
จนเมื่อไม่นานมานี้ การตะลอนๆออกเดินทางก็ทำให้ฉันได้เจอใครคนหนึ่ง เขาเป็นเพื่อนสนิทของเพื่อนสนิทของฉันอีกที เราเจอกันที่ฝรั่งเศสในงานเลี้ยงที่เพื่อนสนิทของเราจัดขึ้นที่บ้าน อันที่จริงเราเกือบจะได้เจอกันแล้วเมื่อสามปีก่อนตอนที่ฉันยังอยู่ที่สิงคโปร์ ตอนนั้นเพื่อนของเราพยายามที่จะจับคู่ให้เพราะเห็นว่าเราชอบเที่ยวเหมือนกัน จึงชวนฉันไปเที่ยวลังกาวีด้วยกันตอนที่เขาบินมาเที่ยวเอเชีย แต่เหมือนโชคชะตาฟ้าไม่ลิขิต จึงมีเหตุให้ฉันต้องยกเลิกการเดินทางครั้งนั้น เราจึงไม่ได้เจอกัน แต่ฉันก็ได้ยินเรื่องราวของเขา และเขาก็ได้ยินเรื่องราวของฉันอยู่เรื่อยๆ จากเพื่อนสนิทของเรา พอเราได้มาเจอกันตัวเป็นๆครั้งแรก มันเลยเหมือนเราเคยรู้จักกันมาก่อน คุยกันถูกคอ และฉันก็รู้สึกเหมือนมีผีเสื้อบินอยู่ในท้องเวลาคุยกับเขา ซึ่งไม่เคยรู้สึกแบบนี้มานานหลายปีแล้ว
วันนั้นเราคุยกันเยอะมาก ส่วนใหญ่ก็คุยกันเรื่องเที่ยวเพราะเป็นขาเที่ยวเหมือนกัน เขาเล่าให้ฉันฟังว่า เขากำลังจะลาออกจากงาน เพื่อออกเดินทาง 3-6 เดือน หรืออาจจะนานกว่านั้น ก่อนจะกลับมาลองเปิดบริษัทหรือทำงานฟรีแลนซ์ที่ปารีส ถ้าติดใจต่อไปเขาอาจจะเดินทางไปด้วยทำงานไปด้วย ส่วนฉันก็เล่าให้เขาฟังว่าเคยไปปารีสแล้วไม่ชอบเลย จนเขาอาสาว่าถ้าฉันไปปารีสครั้งหน้าจะเป็นไกด์ให้และจะทำให้ฉันได้เห็นปารีสในมุมที่นักท่องเที่ยวไม่ค่อยได้เห็น จากวันนั้นต่างคนต่างแยกย้าย ฉันกลับเยอรมนี เขากลับปารีส ต่างคนต่างทำงาน ต่างคนต่างเดินทางท่องเที่ยวแบบของตน
จนฉันได้มีโอกาสไปทำงานใกล้ๆปารีสบ จึงทวงสัญญาจากไกด์นำเที่ยว และก็เป็นอย่างที่เขาคุยโวไว้ ฉันได้เห็นปารีสในมุมใหม่ๆจนหลงรักปารีสเข้าอีกคน และเราก็ได้รู้จักได้คุยกันมากขึ้น เจอกันอีกสองสามครั้งก่อนเขาลาออกจากงานและออกเดินทางท่องเที่ยวตามที่ฝันไว้ ฉันช่วยเขาหาข้อมูลบ้าง สร้างแรงบันดาลใจบ้าง เพราะเขาเดินทางไปยังดินแดนที่ฉันคุ้นเคยและเคยเดินทางมาก่อน มันเลยทำให้เราคุยกันมากขึ้นไปอีก เป็นการทำความรู้จักกันอยู่ไกลๆ แต่ก็รู้สึกได้ถึงความพิเศษที่มันก่อตัวขึ้น จนวันนึงเราคุยกันว่า เราจะลองคบกันดีไหม ทั้งๆที่ไม่มั่นใจกับการคบกันครั้งนี้ เพราะยังไม่ทันได้รู้จักกันดีพอก็ต้องห่างกันแล้ว ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ฉันไม่มั่นใจกับรักระยะไกลเลย และฉันก็เชื่อว่า ความรักมันต้องมาจากความผูกพันและการได้รู้จักกันได้ใช้เวลาด้วยกันบ้าง
สำหรับฉัน นี่มันอาจจะยังไม่ใช่ “ความรัก” แต่เป็นรู้สึกดีๆที่ทำให้ฉันเริ่มเปิดใจเพื่อที่จะเรียนรู้ใครสักคนอีกครั้งหลังจากปิดประตูหัวใจมานาน ตอนนี้ฉันทำได้แต่เพียงเฝ้ามองเขาทำตามความฝัน และเฝ้าคอยว่าวันนึงเราคงได้มีโอกาสใช้ชีวิตใกล้ๆกันเพื่อที่จะได้รู้จักกันมากกว่านี้ เมื่อนักเดินทางสองคนมาเจอกัน ต่างคนต่างมีฝันและเดินตามความฝันของตัวเอง ไม่มีอะไรมาผูกมัดหรือเป็นสัญญาณบอกล่วงหน้าได้เลยว่า
วันหนึ่ง นักเดินทางสองคนนี้ จะมีโอกาสเดินทางด้วยกันบ้างหรือไม่
เส้นทางข้างหน้าเป็นอย่างไรฉันไม่รู้ แต่วันนี้ฉันสุขใจและเดินต่อไปคนเดียว โดยมีเรื่องราวดีๆจากอีกเส้นทางให้ได้ยิน ให้ได้ฟัง ให้ได้แลกเปลี่ยนกัน
ก่อนเคยคิดว่ารักต้องอยู่ด้วยกันตลอด
เติบโตจึงได้รู้ความจริง…
หากเคียงชิดใกล้ แต่เธอต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อฉัน
ประโยชน์ที่ใด หากรักทำร้ายตัวเอง
หากเดินแนบกาย มีพลั้งต้องล้มลงเจ็บ ด้วยกัน
ห่างเพียงนิดเดียว ให้รักเป็นสายลมผ่านระหว่างเรา
แบ่งที่ว่างตรงกลางไว้คอย เพื่อให้เธอได้ตามหาฝัน
……………………………………………………