นักเดินทาง…
ความหมายที่แท้จริงของมันคืออะไร
บางคนเชื่อว่า มันคือนิยามของชีวิตเสรี
บางคนไม่แน่ใจกับความต่างระหว่าง การเดินทางกับทัศนศึกษา
สำหรับบางคน อาจหมายถึงการสะสมจำนวนไมล์ จำนวนเมือง หรือจำนวนประเทศ
สำหรับฉัน แอบขัดเขินทุกครั้งที่ถูกเรียกว่า “นักเดินทาง” และยังไม่แน่ใจว่าตัวเองเหมาะสมกับการถูกขนานนามอย่างนั้น แต่ฉันรู้ตัวดีว่า รักการเดินทาง และการเดินทางมีความหมายกับชีวิตของฉันมาก และเชื่อตามที่ใครบางคนเคยกล่าวไว้ว่า
“การเดินทางคือการเรียนรู้ ถ้าคุณออกสู่โลกกว้างแล้วกลับมาโดยที่พบว่าตัวเองไม่ได้รู้จักโลกและชีวิตเพิ่มขึ้นเลย คุณก็ยังไม่ได้เดินทาง”
สำหรับฉัน การเดินทางคือการเรียนรู้ เรียนรู้เรื่องราวระหว่างทาง เรียนรู้ธรรมชาติ เรียนรู้ชีวิตผู้คน เรียนรู้ที่จะเข้าใจเพื่อนร่วมโลก เรียนรู้ที่จะเห็นใจผู้อื่น และที่สำคัญเรียนรู้ตัวเอง ทุกครั้งที่ฉันเดินทาง มันทำให้ฉันเข้าใจชีวิตและเข้าใจตัวเองมากขึ้น ฉันจึงรู้สึกดีกว่า เมื่อมีคนเรียกฉันว่า “นักใช้ชีวิต” มากกว่า “นักเดินทาง”
ไม่มีคำว่า “สายเกินไป”ที่จะเริ่มต้น…ออสเตรเลีย
ไม่แน่ใจว่าฉันหลงรักการเดินทางมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่คิดว่ามันคงอยู่ในสายเลือด ฉันชอบอ่านหนังสือเหมือนพ่อ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันอยากรู้สึกดินแดนแห่งนั้นดินแดนแห่งนี้ ฉันชอบไปนู่นไปนี่ชอบทำนั่นทำนี่แบบไม่ค่อยอยู่นิ่งเหมือนแม่ จึงชอบออกไปผจญภัยนอกบ้านตั้งแต่เด็ก
เมื่อเข้าสู่ชีวิตมหาวิทยาลัยในรั้วสีเขียว ที่นั่นทำให้ฉันยิ่งรู้ตัวเองว่ารักการเดินทางและเรียนรู้ชีวิตผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโบกรถ/นั่งรถไฟเที่ยว ออกค่ายอาสา และทำกิจกรรมเพื่อเด็กและสังคม ฉันรู้สึกโชคดีที่เริ่มออกเดินทางตั้งแต่สมัยนั้น ไปมาเกือบทั่วประเทศไทย เกือบทุกอุทยานแห่งชาติ
แต่การเดินทางไปต่างประเทศยังคงเป็นเหมือนฝันไกลๆ ในสมัยนั้นค่าเดินทางไปต่างประเทศค่อนข้างสูง ไม่สะดวกสบาย หาข้อมูลไม่ง่ายแบบสมัยนี้ ยิ่งคนที่มีโอกาสไปใช้ชีวิตในต่างประเทศ ต้องมีฐานะครอบครัวที่ร่ำรวย หรือไม่ก็เรียนเก่งภาษาดีสอบชิงทุนไปเรียนได้ และบังเอิญว่าฉันไม่มีทั้งสองอย่าง
หลังจากเรียนจบ ฉันก็ใช้ชีวิตในเมืองหลวงอย่างมนุษย์เงินเดือนทั่วไป ตอกบัตรทำงานหนักอย่างคนหนุ่มสาวไฟแรง แต่ถ้ามีเวลาก็พยายามเก็บออมเพื่อออกเดินทางภายในประเทศและปะเทศเพื่อนบ้านบ้างตามโอกาสที่เหมาะสม ยังคงแอบฝันว่าวันหนึ่งจะมีโอกาสออกไปเห็นโลกกว้างในที่ไกลๆบ้าง
หลังจากตื่นตีห้าไปตอกบัตรทำงานเกือบห้าปี ฉันเริ่มรู้สึกเหนื่อยกับชีวิตแบบนั้น อยากพัก อยากออกไปทำตามฝัน แต่ตอนนั้นฉันก็ยังไม่ค่อยแน่ใจหรอกว่าความฝันที่แท้จริงคืออะไร รู้แต่ว่าอยากไป อยากไปต่างประเทศ อยากไปเรียนภาษา อยากออกไปค้นหาตัวเอง
ตอนนั้นฉันอายุ 27 ปีแล้ว เรียนจบปริญญาโท มีหน้าที่การงานที่ดีและมั่นคง ตอนที่คิดจะยื่นใบลาออกแล้วบอกเหตุผลว่า อยากออกไปตามหาฝัน ทุกคนรอบกายต่างยื่นเหตุผลมากมายมาทักท้วง “ไม่สายเกินไปหรือที่จะออกไปค้นหาตัวเองตอนอายุเท่านี้ มันควรจะเป็นเวลาที่เริ่มคิดลงหลักปักฐานสร้างครอบครัว”
แต่ตอนนั้น หัวใจฉันโบยบินไปไกล ยอมรับว่าอยากหนี หนีจากสังคมที่วุ่นวาย หนีจากการงานที่เหน็ดเหนื่อย หนีจากความรักที่ผิดหวัง หนีจากความสับสนไม่แน่ใจว่าตัวเองรักและอยากทำอะไรกันแน่ โชคดีที่ฉันมีครอบครัวที่เข้าใจ สนับสนุนในทุกสิ่งที่ฉันอยากทำ และให้ฉันได้มีโอกาสได้เรียนรู้และลองใช้ชีวิตด้วยตัวเอง
มีนาคม 2010 ฉันจึงบินเดี่ยวออกเดินทางไปเรียนรู้ชีวิตไกลบ้านครั้งแรกที่ประเทศออสเตรเลีย ฉันมีเพื่อนสนิทหลายคนอยู่ที่นั่น แต่เลือกที่จะเดินทางไปเมืองบริสเบนที่ซึ่งไม่มีคนรู้จัก ด้วยเหตุผลที่ว่า ฉันจะได้ฝึกการเอาตัวรอด การใช้ชีวิตและเรียนรู้ด้วยตัวเอง
หนึ่งปีที่ออสเตรเลียอาจจะดูแสนสั้น แต่ฉันได้เรียนรู้อะไรมากมาย ได้ทำหลากหลายสิ่งที่ไม่เคยทำ ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตในต่างแดน ได้ออกเดินทาง ได้เรียนภาษา ได้ฝึกการเอาตัวรอด ได้ทำงานในร้านอาหาร ได้รู้จักเพื่อนใหม่ ได้เจอเพื่อนเก่า แม้เวลาจะผ่านไปห้าปีแล้วแต่ฉันก็ยังรู้สึกว่า ออสเตรเลียเป็นเหมือนบ้านหลังที่สอง คิดถึงและอยากกลับไปเยี่ยมครอบครัวและเพื่อนๆที่นั่นเสมอ (แล้วจะหาโอกาสขุดเอาเรื่องราวเก่าๆจากความทรงจำในการใช้ชีวิตที่นั่นมาเล่าให้ฟังค่ะ)
ถึงแม้ฉันจะออกเริ่มต้นช้ากว่าคนอื่น แต่ฉันก็ไม่เคยเสียใจและขอบคุณตัวเองทุกครั้งที่ตัดสินใจออกเดินทางไปออสเตรเลีย ที่นั่นเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นให้ฉันใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ เลือกทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำและเติมความฝันของครอบครัวไปพร้อมๆกัน
ฝันของตัวเอง กับ ฝันของคนที่เรารัก…สิงคโปร์
หลังจากหนีออกไปตามหาตัวเองได้ครบหนึ่งปี ฉันตัดสินใจบอกลาออสเตรเลียเพื่อมาใช้ชีวิตเป็นมนุษย์เงินเดือนตอกบัตรเข้าทำงานอีกครั้ง แต่เป็นการเดินทางมาทำงานในสายอาชีพที่เรียนจบมาในต่างประเทศครั้งแรก ยอมรับว่าแอบเสียดายอิสรภาพที่ได้รับตลอดเวลาที่อยู่ในแดนจิงโจ้ แต่การใช้ชีวิตแบบนั้นก็ไม่ได้นำมาซึ่งความสุขของคนครอบครัวอันเป็นที่รักของฉันนัก พ่อกับแม่ที่รับราชการอยากเห็นลูกสาวคนโตของบ้านมีการงานที่มั่นคง และการหนีไปใช้ชีวิตอิสระก็ให้คำตอบกับฉันว่า ที่จริงแล้วฉันก็ยังรักงานในสายอาชีพที่ร่ำเรียนมา เพียงแค่เหนื่อยล้ากับระบบทำงานที่คร่ำเคร่งแข่งขันในเมืองไทย ฉันจึงตัดสินใจลองมาทำงานที่สิงคโปร์ในสายอาชีพที่ตัวเองเลือก
ถึงแม้จะกลับมาเป็นมนุษย์เงินเดือน แต่ตอนที่อยู่สิงคโปร์ฉันก็ได้ทำอีกความฝันหนึ่งควบคู่กันไป ตลอดเวลาเกือบห้าปีที่นั่น ฉันทำสานฝันของคนที่ฉันรัก ด้วยการมีงานที่มั่นคง ทำให้พ่อแม่ไม่เป็นห่วงและภูมิใจ มีเวลากลับไปเยี่ยมครอบครัวบ่อยๆ และทำความฝันของตัวเองในการออกเดินทางและเขียนหนังสือควบคู่กันไป
ถึงแม้ฉันอาจจะไม่ค่อยชอบการใช้ชีวิตที่สิงคโปร์มากนัก แต่ที่นั่นก็ทำให้ฉันมีความสุขกับชีวิตที่สมดุล work-life balance และได้ออกไปแบกเป้เดินทางในประเทศต่างๆทั้งในเอเชียและยุโรป
ก่อนเริ่มงานที่สิงคโปร์ ฉันได้ไปฝึกงานและใช้ชีวิตช่วงสั้นๆที่สวิสเซอร์แลนด์ดินแดนในฝันเป็นเวลา 3 เดือน นั่นเป็นเหมือนกำไรชีวิตที่ฉันได้รับ ฉันสนุกกับการเรียนรู้งานที่นั่นและได้แบกเป้ออกเดินทางคนเดียวไปในประเทศต่างๆหลายประเทศในยุโรป จนเก็บไปฝันต่อว่า หากมีโอกาสก็อยากมาลองใช้ชีวิตและทำงานในประเทศแถบยุโรปดูบ้าง
สี่ปีกว่าที่สิงคโปร์ทำให้ฉันเรียนรู้ว่า เราไม่จำเป็นที่ต้องทิ้งความฝันของคนที่เรารัก เพื่อไปตามหาฝันของตัวเอง แต่เราสามารถทำทั้งสองฝันควบคู่กันไปได้ อยู่ที่เราเลือกที่จะจัดการมันยังไง
สานต่อความฝัน…เยอรมนี
ฉันเชื่อมั่นว่า การทำให้ความฝันได้สำเร็จต้องประกอบด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง ทั้งความสามารถ ความพยายาม และโอกาส ในวันหนึ่งที่มีคนยื่นโอกาสมาให้ฉันได้ไปทำงานที่ประเทศเยอรมนี ประเทศที่ฉันไม่เคยฝันถึงแต่ก็แอบหลงชอบในตอนที่เคยเดินทางท่องเที่ยว โอกาสที่ไม่ได้เข้ามาในชีวิตบ่อยๆ ทำให้ฉันต้องจากบ้านไปใช้ชีวิตไกลๆอีกครั้ง ไกลจากสภาพแวดล้อมที่เคยคุ้น ไกลจากงานที่ถนัดเพื่อไปเรียนรู้สิ่งใหม่ ไกลจากครอบครัวและเพื่อนฝูงที่พร้อมจะอ้าแขนรับตลอดเวลา ไกลจากภาษาที่พูดฟังคล่องปากคล่องหู แต่เพราะเชื่อมั่นว่า การออกไปจาก comfort zone จะทำให้เราเติบโตขึ้น เพราะชีวิตคือการเรียนรู้ในทุกๆวัน นั่นคือเหตุผลที่ฉันไม่อยากละโอกาสนั้น
สามเดือนที่เยอรมนี เป็นเหมือนระยะปรับตัว ฉันต้องเรียนรู้และปรับตัวเยอะมาก ทั้งที่ทำงานและข้างนอก เหมือนเจองานยาก เหมือนเข้าคอร์สฝึกความอดทน สามเดือนที่ฉันต้องเรียนรู้ตั้งแต่การแยกขยะ การฝึกทำคอแข็งๆเพราะเบียร์ถูกกว่าน้ำ หารฝึกทานอาหารเลี่ยนๆเค็มๆ การฝึกต่อเติมบ้านต่อโต๊ะเดินสายไฟ การฝึกความตรงต่อเวลา การฝึกใช้ชีวิตเงียบๆในเมืองเล็กๆโดยเฉพาะวันอาทิตย์ที่เหมือนเมืองร้าง การฝึกขับรถเลนขวา และเรียนภาษาเยอรมันเพราะคนที่นี่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษ (นอกจากที่ทำงาน)
แต่ก็เชื่อมั่นว่าหากผ่านระยะปรับตัวนี้ไป สามปีต่อจากนี้ฉันคงหลงรัก ได้เรียนรู้อะไรมากมาย และคงสนุกกับการใช้ชีวิตและการเดินทางที่นี่ไม่น้อย
ที่เขียนเล่าเกริ่นเล่ามาซะยาว เพียงเพื่ออยากบอกเพื่อนๆทุกนที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้ว่า
การตามหาตัวเองและการเดินตามความฝัน ไม่ใช่เรื่อง่าย
แต่ความฝันก็จะไม่เป็นจริงได้เลย หากเราไม่ลงมีทำ
และเราจะไม่มีทางเข้าใจโลก เข้าใจชีวิตตัวเองและผู้อื่น ถ้าหากเราไม่ยอมเปิดใจและออกไปท่องโลกกว้าง
หวังว่าบทความนี้ จะเป็นบทนำไปสู่เรื่องเล่าจากโลกไกลบ้านในเมืองเบียร์ของฉัน นับแต่จากนี้ไปอีกสามปีข้างหน้าหรือจนกว่าเส้นทางชีวิตของฉันจะได้ไปเจอกับทางแยกอีกครั้ง
ฝากติดตามกันด้วยนะคะ