หากไม่นับการข้ามไปเที่ยวตลาดชายแดนไทย-พม่าที่ด่านเจดีย์สามองค์สังขละบุรี ตลาดแม่สาย และตลาดแม่สอด นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเดินทางไปเยือนพม่าอย่างเป็นทางการหลังจากรอคอยเวลาและโอกาสเป็นใจมาหลายปี
ถึงแม้พม่า (Burma) จะถูกเปลี่ยนชื่อเป็นเมียนมาร์ (Myanmar) อย่างเป็นทางการแล้ว แต่ฉันก็ยังถนัดเรียกชื่อพม่าติดปากอยู่อย่างนั้น และคิดว่าคนไทยหลายคนก็คงชินแบบเดียวกัน เลยขออนุญาตเรียกพม่าแบบเดิมนะคะ
หลายคนชอบถามว่าทำไมฉันถึงอยากไปพม่า
ฉันเขียนคำตอบไว้ใน”เรื่องเล่า”ตอนก่อนหน้านี้ พร้อมคำแนะนำไม่สั้นไม่ยาวในการเตรียมตัวไปพม่าไว้ให้ด้วย
ติดตามอ่านเรื่องราวการเดินทางในพม่าตอนอื่นๆได้ตามลิงค์นี้ค่ะ
ตอนที่ 1 เมื่ออินดี้หนีเที่ยวพม่า
ตอนที่ 2 ลัดเลาะซอกแซกเมืองย่างกุ้ง
ตอนที่ 3 เที่ยวอย่างอินดี้…นั่งรถไฟรอบเมืองย่างกุ้ง
ตอนที่ 4 มหัศจรรย์แห่งศรัทธา…พระธาตุอินทร์แขวน
การเดินทางครั้งนี้ฉันมีผู้ติดตามไปด้วยสองคน ผู้ซึ่งเป็นทั้งพี่สาวและเพื่อนสนิทร่วมขบวนการอินดี้ในพม่าด้วยกันเป็นเวลา 6 วัน แถมยังได้รับความอนุเคราะห์จากพี่ชายคนหนึ่งที่ไปทำงานอยู่ที่เมืองย่างกุ้งให้พี่พักพิงอาศัยในย่างกุ้งเป็นเวลาถึง 2 คืนและพาทานอาหารอร่อยๆด้วย หนึ่งปีถัดมา ฉันก็ได้เดินทางกลับไปเยือนพม่าอีกครั้ง (ติดอกติดใจอะไร ไว้ตามไปดูกันค่ะ) และได้แวะเมืองย่างกุ้งอีกเช่นเคยเพราะเป็นเหมือนประตูสู่การเดินทางไปยังเมืองต่างๆของพม่า ในครั้งที่สองนั้นฉันและเพื่อนยังได้รับความอนุเคราะห์จากพี่สาวอีกคนที่ครอบครัวย้ายไปทำงานที่นั่น ให้ที่พักอาศัยสุดหรูในย่างกุ้ง แถมคนขับรถพาเที่ยวแบบสบายใจสบายกระเป๋าไปเลย ด้วยความสะดวกสบายเช่นนี้ ฉันจึงมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับย่างกุ้งแบบค่อนข้างปรุโปร่งเมื่อเทียบกับการเดินทางเพียงสองวันเต็ม
“ย่างกุ้ง” อดีต ปัจจุบัน ยังสำคัญเสมอ
ย่างกุ้งเมืองหลวง(เพิ่ง)เก่า เพราะพม่าเพิ่งย้ายเมืองหลวงไปยังเมืองเนปิดอว์ (Naypyidaw) ซึ่งอยู่ห่างจากย่างกุ้งไปทางตอนเหนือประมาณ 360 กิโลเมตร ว่ากันว่าเนปิดอว์มีความได้เปรียบย่างกุ้งในเชิงยุทธศาสตร์ แต่ถึงแม้ย่างกุ้งจะไม่ได้มีฐานะเมืองหลวงแล้ว ความสำคัญของย่างกุ้งก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป ยังคงเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุด มีพื้นที่และประชากรอาศัยอยู่มากที่สุดของประเทศ และยังคงเป็นทั้งศูนย์กลางการค้าและการท่องเที่ยวของพม่า
ในอดีตนั้น เมื่อพม่าเปลี่ยนราชวงศ์ก็มักจะย้ายเมืองหลวงใหม่ ย้ายไปย้ายมาเป็นสิบครั้ง ชาวไทยที่ต้องเรียนประวัติศาสตร์ของประเทศเพื่อนบ้านก็มึนงงกับประวัติศาสตร์ชาติพม่ากันบ้าง ทั้งพุกาม หงสาวดีหรือพะโค สะกาย อังวะ อมระปุระ และมัณฑะเลย์ ชื่อเมืองเหล่านี้ยังคงติดอยู่ในความทรงจำตั้งแต่เรียนวิชาทวีปของเราในวัยมัธยม (เด็กไทยสมัยนี้ยังต้องเรียนวิชานี้อยู่ไหมนะ)
พระเจ้าอลองพญาเป็นผู้ยึดครองเมืองดากอง (Dagon) ซึ่งเคยเป็นหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆของชาวมอญ และได้เปลี่ยนชื่อเป็น ย่างกุ้ง ค่ะ ซึ่งแปลว่า จุดจบของศัตรู หรือ ปราบศัตรูจนราบคาบ เมื่ออังกฤษเข้ามายึดครองพม่า ก็ได้ยกฐานะย่างกุ้งให้เป็นเมืองหลวงและเป็นเมืองท่าที่สำคัญ เนื่องจากย่างกุ้งมีภูมิประเทศที่ดีต่อการขนส่งสินค้าเพราะตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำย่างกุ้งซึ่งต่อไปยังทะเลได้ และอังกฤษก็ได้มีการวางผังเมืองและพัฒนาสิ่งปลูกสร้างต่างๆให้ย่างกุ้งเป็นเมืองที่มีความผสมผสานต่างมิติ
วันนี้เราจึงยังคงเห็นทั้งเจดีย์อันยิ่งใหญ่สีทองอร่าม โบสถ์คริส วัดฮินดู ไชน่าทาวน์ ตึกเก่าแบบโคโลเนียลที่อังกฤษสร้างไว้ในสมัยอาณานิคม อาคารพานิชย์หลากสมัย แผงน้ำชารถเข็นริมทาง และพาหนะย้อนยุค
ย่างกุ้งจึงยังคงเป็นเมืองที่สำคัยต่อประเทศพม่าทั้งในอดีตและปัจจุบัน การเดินทางมาย่างกุ้ง จึงเหมือนการเดินทางย้อนเวลากับบรรยากาศพิเศษกับวิถีชีวิตที่ถูกหยุดไว้ ซึ่งนักเดินทางไม่ควรพลาดที่จะหาเวลามาดื่มด่ำกับเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใครของที่นี่ ตอนนี้ย่างกุ้งกำลังเปลี่ยนไปและถูกพัฒนาอย่างรวดเร็ว หากเป็นไปได้ อยากแนะนำให้รีบเดินทางไปย่างกุ้งก่อนที่ภาพอดีตจะเดินเร็วเท่าเวลาปัจจุบันนะคะ
ฉันเดินทางจากสิงคโปร์ไปถึงย่างกุ้งก่อนเพื่อนสาวอีกสองคนหนึ่งคืน โดยค้างที่อพาร์ทเม้นต์ของพี่หน่อง ตอนเช้าพี่หน่องก็พาไปรับเพื่อนอีกสองคนที่สนามบินด้วยกัน แล้วแนะนำให้รู้จักกับกับคนขับรถแท๊กซี่ที่เราเหมาเช่าแบบทั้งวันในราคา 60USD (ราคารถแท๊กซี่ในย่างกุ้งประมาณ 6,000 จั๊ตต่อชั่วโมงค่ะ) แบบอยากแวะอยากเที่ยวที่ไหนได้ตามใจ พร้อมคนขับที่เป็นไกด์ไปในตัว จำชื่อพม่าแท้ๆของคนขับรถไม่ได้ แต่เราสามคนเรียกเขาว่า ซาซี (เพราะออกเสียงประมาณนี้) จากนั้นพี่หน่องก็ขอตัวแยกย้ายไปทำงาน ให้พวกเราเริ่มต้นผจญภัยไปกับซาซีแบบอยากไปไหนก็บอกเขาได้เลย พวกเราเลยเริ่มต้นเที่ยวชมสถานที่สำคัญและวัดวาอารามใกล้ๆสนามบินกันก่อนค่ะ ก่อนที่จะเข้าไปในตัวเมืองย่างกุ้งในตอนบ่าย
วัดพระหินขาว (Lawka Chantha Abhaya Labha Muni) พระหินอ่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก
วัดเจ๊าต่อจี (Kyauktawgyi) หรือที่คนไทยชอบเรียกว่า วัดพระหินอ่อน/วัดพระหินขาว เพราะเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปขนาดใหญ่ สูง 37 ฟุต กว้าง 24 ฟุต หนา 11 ฟุตและหนัก 60 ตัน นับเป็นพระพุทธรูปหินอ่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก และทำจากหินอ่อนก้อนเดียวซึ่งนำมาจากเมืองสกาย และครอบกระจกไว้เพื่อควบคุมอุณภูมิไม่ให้ร้อนจนแตกร้าว แกะสลักโดยช่างฝีมือจากเมืองมัณฑะเลย์ นับเป็นงานแกะสลักชั้นยอดที่งดงามน่ามาชมมากเลยค่ะ
ที่นี่เราจะเห็นชาวพม่ามาสักการะพระพุทธรูปองค์นี้มากกว่านักท่องเที่ยวค่ะ แม้แต่วัยรุ่นพม่าก็นิยมเข้าวัดเข้าวากัน เป็นภาพที่น่ามองดีค่ะ
ผู้ชายพม่าจะนั่งยองๆไหว้พระ ยกมือพนมจรดศีรษะ ขณะที่ผู้หญิงก็นั่งพับเพียบกราบพระแบบไทยค่ะ
ตั้งอยู่มุมถนน Pyay และถนนbMindhama เปิดทุกวันตั้งแต่ 6.00-20.00น. ไม่เสียค่าเข้าชม
ปางช้างเผือก (Elephant park) คู่บ้านคู่เมืองพม่า
พม่ามีความเชื่อว่า กษัตริย์ที่มีบุญบารมีต้องมีช้างเผือกเหมือนกับไทยค่ะ ไทย-พม่าจึงมีการแลกเปลี่ยนช้างเผือกเพื่อสานสัมพันธ์กันมาช้านาน (บ้างก็รบกันเพื่อแย่งช้างเผือก) ปางช้างแห่งนี้มีช้างเผือก 3 ช้าง (เรียกหน่วยเป็นช้างจริงๆค่ะ)
เชือกใหญ่สุดชื่อว่า เตียงกีมาลา (Theing Marlar) แปลว่า ดอกไม้ทอง เป็นช้างเผือกสีชมพู เพศเมีย อายุ 35ปีแล้วค่ะ
ส่วนตัวนี้ชื่อว่า รตีมาลา (Rati Marlar) อายุ 19ปี เป็นเพศผู้ค่ะ สังเกตจากมีงาคู่สวย แต่ชื่อแอบเหมือนผู้สาวนะ
ส่วนอีกตัวหนึ่งแอบหลบอยู่ด้านในเลยไม่ได้ถ่ายรูปมาค่ะ หากใครแวะมาเที่ยววัดหินขาว ก็สามารถแวะมาเยี่ยมชมช้างเผือกที่นี่ได้ค่ะ เพราะอยู่ตรงข้ามวัดพระหินขาวเลยค่ะ
เปิดทุกวัน 9.00-17.00 น. ไม่เสียค่าเข้าชมค่ะ
วัดอาเล่งงาชิ้น (Ah Lane Nga Sint)
หลังออกมาจากปางช้าง ซาซีเปิดโทรศัพย์ส่งรูปพระพุทธรูปองค์สีเขียวเข้มมาให้ดู แล้วถามว่าสนใจไปที่นี่ไหม ฉันไม่รู้จักวัดนี้มาก่อน แต่เห็นว่าพระพุทธรูปสวยดีและคนท้องถิ่นแนะนำ ก็เลยลองไปชมดูค่ะ
ซาซีเล่าให้ฟังว่า วัดอาเล่งงาชิ้นแห่งนี้เกิดจากภาพฝันของเจ้าอาวาส จึงได้สร้างวัดแห่งนี้ขึ้นมาพร้อมกับพระพุทธรูปสีเขียวแปลกตาที่ประดิษฐานอยู่ในวิหาร ภายในวิหารมีโคมระย้าวิจิตรงดงามมากค่ะ นอกจากนี้ยังมีงานปูนปั้น งานแกะสลักไม้ และพระพุทธรูปหลายองค์ที่งดงามโดยช่างฝีมือจากมัณฑะเลย์
พระพุทธรูปสวยงามแปลกตา เราอาจจะเคยเห็นพระพุทธรูปคล้ายๆกันนี้แถวๆจังหวัดแม่ฮ่องสอนหรือตาก บรรยากาศโดยรวมของวัดดูขลังดีค่ะ
ในบริเวณวัดยังสร้างเขาวงกต เพื่อเปรียบเปรยว่า ชีวิตมีทุกข์ สุข อุปสรรค ทางตัน และทางออก เมื่อเดินชมรอบๆบริเวณวัด ฉันสังเกตว่าที่มีมีศิลปะแบบแขกหรืออินเดียปนอยู่ด้วยค่ะ
ตั้งอยู่ใกล้สนามบินย่างกุ้ง เปิดทุกวัน 6.00-20.00 น. ไม่เสียค่าเข้าชมค่ะ
วัดชเวตอเมียต (Swedaw Myat) ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว
วัดชเวตอเมียต หรือที่คนไทยเรียกว่า วัดพระเขี้ยวแก้วจุฬามณี สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วจำลองอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอัญเชิญมาจากประเทศจีน และเป็นองค์เดียวกันกับที่เคยอัญเชิญมายังพุทธมณฑลประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2545
เมื่อมาถึง พวกเราได้รับการต้อนรับด้วยรอยยิ้มซื่อสดใสของหนุ่มน้อยพม่า วัดในพม่าส่วนใหญ่ เราต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าไปในวิหารหรือโบสถ์ ก็ะมีเด็กๆมาให้บริการรับฝากรองเท้าค่ะ ซึ่งเราก็ให้ทิปเล็กๆน้อยๆเป็นค่าตอบแทนไป
สถาปัตยกรรมภายนอกก็สวยงามมากค่ะ เป็นเจดีย์แปดเหลี่ยมทรงปราสาท ในวันที่ฟ้าสดใส ที่นี่ถ่ายรูปขึ้นกล้องมากค่ะ
ซึ่งในช่วงที่เราไปถึง ก็มีการชักรอก “เรือบุญ” สู่พระเจดีย์เสร็จพอดี เสียดายที่ถ่ายภาพไม่ทัน โดยผู้ที่จะทำบุญจะนำแผ่นทองมาใส่ในเรือหงส์ ก่อนที่จะชักรอกให้ลอยขึ้นฟ้าสู่ยอดเจดีย์ จากนั้นคนที่รออยู่ด้านบนก็จะนำทองไปปิดเจดีย์ค่ะ
ด้านในมีลอดลายสวยงามและปิดทองเหลืองอร่าม ตรงใจกลางเป็นที่ประดิษฐานของพระเขี้ยวแก้ว สวยงามอลังการมากค่ะ
ตั้งอยู่บนถนน Swedaw เปิดทุกวัน 6.00-20.00 น. ไม่เสียค่าเข้าชมค่ะ
เจดีย์กาบาเอ (Kaba Aye Pagoda) เจดีย์แห่งสันติภาพ
กาบาเอ มีความหมายว่า สันติภาพของโลก สร้างโดยนายอูนุ นายกรัฐมนตรีคนแรกของพม่าเพื่อทำนุบำรุงศาสนาและขอให้บันดาลสันติสุขขึ้นบนโลก ตัวเจดีย์เป็นทรงกลมที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 34 เมตร ตรงกลางเป็นเสากลมขนาดมหึมาที่มีภาพวาดทิวทัศน์และมีพระพุทธรูปประดิษฐานโดยรอบถึง 28 องค์ โดยพระพุทธรูปองค์ใหญ่สุดหล่อด้วยเงินบริสุทธิ์หนักกว่า 500 กิโลกรัม นอกจากนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานพระอัฐิธาตุของพระโมคคัลลานะและพระสารีบุตร อัครสาวกเบื้องซ้ายและขวาของพระพุทธเจ้า ชาวพม่านิยมมาสักการะบูชาพระที่นี่มากกว่านักท่องเที่ยวค่ะ
ตั้งอยู่บนถนน Kaba Aye Pagoda เปิดทุกวัน 6.00-20.00 น. ไม่เสียค่าเข้าชมค่ะ
เดินออกมาบริเวณด้านนอกของเจดีย์กาบาเอก็จะมีทั้งของขายเยอะแยะเลยค่ะ ลูกพุทราที่นี่ก็ดูน่าทานดีนะ และที่พม่านี่ก็เด็กๆเยอะดี หน้าตาน่ารักน่าชัง เดินตามหรือวิ่งเล่นอยู่ใกล้ๆกับพ่อแม่ที่มาตั้งแผงขายของ
เคยได้ยินมาว่าหมอดูพม่านี่โด่งดังเรื่องความแม่นยำและความขลัง ใครสนใจดูลายมือตรวจสอบโชคชะตาก็ลองดูได้นะคะ แต่จะคุยกันรู้เรื่องหรือเปล่านี่ไม่แน่ใจนะคะ
มหาปาสนคูหา (Maha Pasana Guha)
เดินจากเจดีย์กาบาเอ ประมาณ 100 เมตร ก็จะพบกับ มหาปาสนคูหา (Maha Pasana Guha) ที่ดูจากข้างนอกเหมือนจะเป็นถ้ำธรรมดาๆ แต่พอเดินเข้าไปด้านในก็ถึงกับตะลึงกับความยิ่งใหญ่ ที่นี่เป็นโถงประชุมขนาดใหญ่ที่มีอัศจรรย์รอบๆ อ่านข้อมูลเจอว่าสามารถจุคนได้เป็นหมื่นคนเลยทีเดียวค่ะ สร้างขึ้นโดยการร่วมมือร่วมใจของพุทธศาสนิกชนโดยไม่รับค่าตอบแทน เพื่อให้ได้ทันใช้เป็นสถานที่ในการสังคายนาพระไตยปิฎกครั้งที่ 6 ในปีพ.ศ. 2497 แสดงให้เห็นถึงพลังศรัทธาอันยิ่งใหญ่ของชาวพุทธในพม่าเลยนะคะ ซึ่งในครั้งนั้นท่านพุทธทาสภิกขุได้รับเชิญไปแสดงธรรมด้วย และที่สำคัญคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเสด็จพระราชดำเนินไปบำเพ็ญพระราชกุศลเมื่อคราวเสด็จไปเยือนพม่าในปี ค.ศ. 1960 ด้วยค่ะ
ตั้งอยู่บริเวณเดียวกับ Kaba Aye Pagoda เปิดทุกวัน 6.00-20.00 น. ไม่เสียค่าเข้าชม
วัดเจ๊าทัตจี (Chauk That Gyi Pagoda) พระนอนตาหวาน
“พระตาหวาน” ที่วัดเจ๊าทัตจี เป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์หรือพระนอน ที่มีขนาดตวามสูงประมาณตึก 6 ชั้นเลยค่ะ ที่คนไทยเรียกว่า พระตาหวาน เพราะดวงตาของท่านทำจากแก้วใสแจ๋ว มาสคาร่าสีฟ้า ขนตางอนเด้ง จึงทำให้เป็นสัญลักษณ์ที่พี่ไทยเรียกขานกันค่ะ
องค์พระที่เห็นนี้เป็นองค์ใหม่ที่สร้างแทนองค์เดิมที่เสียหายไปจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว องค์เดิมไม่ได้ตาหวานแบบนี้ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ชาวพม่าก็ยังเคารพและศรัทธาพระพุทธรูปองค์นี้มากค่ะ เราจะเห็นชาวบ้านมาไหว้พระทำบุญกันเยอะเลย นักท่องเที่ยวก็เยอะด้วยค่ะทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
ตั้งอยู่บนถนน Shwegondaing เปิดทุกวัน 6.00-20.00 น. ไม่เสียค่าเข้าชม
ชิมอาหารไทยสไตล์เมียนมาร์
เที่ยวชมเมืองย่างกุ้งแถวๆสนามบินไปได้ครึ่งค่อนวัน พวกเราก็เริ่มหมดแรงเรียกร้องให้ซาซีขับรถพาไปร้านอาหาร พี่หน่องแนะนำให้ไปทานที่ร้าน Feel ซึ่งเป็นร้านอาหารติดอันดับต้นๆของย่างกุ้งที่มีทั้งอาหารพม่า อาหารไทยและอาหารตะวันตกในราคาเป็นกันเอง ร้านอาหารใหญ่โตและคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวและชาวพม่าที่แต่งตัวแบบพนักงานออฟฟิศเป็นส่วนใหญ่ค่ะ พวกเราเลือกทานอาหารไทยเป็นมื้อแรกก่อน เลยจัดไปทั้งทอดมันปลา ผัดผักรวมมิตร ต้มยำทะเล และยำถั่วพู ซึ่งก็เป็นรสชาตอาหารไทยที่ปรับให้ถูกลิ้นชาวพม่าแล้ว อาจจะไม่แซ่บจัดจ้านแบบบ้านเรา แต่ก็ใช้ได้เลยค่ะ (สำหรับคนที่เบื่ออาหารรสจืดที่สิงคโปร์อย่างฉัน)
น้ำยำของพม่าจะไม่ค่อยเปรี้ยวค่ะ และมักจะมีถั่วลิสงคั่วบดเป้นส่วนประกอบ รสชาตเลยมันๆมากกว่าเปรี้ยวแซ่บแบบน้ำยำบ้านเรา
พิกัด 124 Pyi Htaung Su Yeikthar Street, Yangon (Rangoon), Myanmar
ทะเลสาบกันดอว์จี (Kandawgyi Lake) และภัตตาคารการะเวก (Karaweik Restaurant)
หลังหนังท้องอิ่ม ก่อนที่หนังตาจะหย่อน พวกเราขอให้ซาซีขับรถพาไปเดินเล่นชมสวนที่ทะเลสาบกันดอว์จี ที่นี่นับเป็นทะเลสาบหลวงของชาวย่างกุ้งเลยค่ะ คำว่า (Kandawgyi แปลว่า Royal) จากตรงทะเลสาบสามารถมองเห็นเจดีย์ชเวดากองอยู่ไกลด้วยค่ะ บรรยากาศในสวนร่มรื่นมากเลยเลย ต้นไม้ครึ้ม ลมพัดเย็นๆ เหมาะกับการมาเดินเล่นชิลล์ๆ (จึงเห็นหนุ่มสาวชาวพม่ามานั่งพรอดรักกันเป็นคู่ๆ) แต่น่าจะมาตอนเช้าหรือตอนเย็นคงจะเหมาะกว่านี้ พวกเราไปถึงหลังเที่ยงก็เลยเดินชิลล์ไม่ค่อยไหว
ซาซีพาพวกเรามาเข้าประตูทางฝั่งภัตตาคารการะเวกที่ต้องเสียค่าผ่านประตู 300จั๊ต และค่ากล้องถ่ายรูปอีก 500จั๊ต (นึกว่าสวนสาธารณะของเมือง จะได้เข้าฟรีเสียอีก) และทางนี้จะเป็นทางเข้าเพื่อเข้าไปทานอาหารและชมการแสดงที่ภัตตาคารการะเวก แต่จะไม่สามารถถ่ายรูปภัตตาคารได้เต็มลำ ถ้าต้องการถ่ายภาพสวยๆของภัตตาคารการะเวกต้องเข้าอีกทางที่มีป้ายเขียนว่า Kandawgyi Nature Park และต้องเสียค่าเข้าแยกต่างหากอีก 2,000จั๊ต พวกเราพลาดไปแล้ว แต่ตอนนั้นแดดร้อนมากและด้วยความงกก็เลยตัดใจไม่ไปค่ะ คิดว่าคงได้กลับมาซ่อมที่นี่อีกรอบยามเย็นหรือตอนค่ำน่าจะสวยกว่า แต่แอบเจ็บใจตัวเองคือ ฉันเขียนโน๊ตกันลืมไว้เรื่องทางเข้าเพื่อไปถ่ายภาพภัตตาคารที่สวยที่สุดในย่างกุ้ง แต่สุดท้ายก็ดันลืมซะงั้น หนังท้องตึงหนังตาหย่อน สมองก็เริ่มเบลอๆ
ภัตตาคารการะเวก นับเป็นแลนด์มาร์กของทะเลสาบกันดอว์จี สร้างตามแบบเรือพระที่นั่งของกษัตริย์พม่า หัวเรือเป็นรูปนกการะเวก ตกแต่งด้วยบรรยากาศหรูหรา ภัตตาคารหรูแห่งนี้มีความเก่าแก่ เพราะสร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 เริ่มต้นนั้นสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ปัจจุบันเป็นทั้งร้านอาหารและสถานที่ชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมของพม่า เช่น หุ่นกระบอกพม่า ซึ่งเรียกว่า “โยก เต ปแหว่ (Yok-Thei Pwe)” ที่โด่งดังคือ การแสดงชุดที่ชักหุ่นให้เตะตะกร้อ สำหรับใครที่ไม่ได้เข้าไปทานอาหารสามารถถ่ายรูปได้เฉพาะด้านนอก และบริเวณสวนสาธารณะรอบๆค่ะ พวกเราคิดว่าถ้ามีโอกาสจะมาลองทานอาหารที่นี่ แต่สุดท้ายพี่หน่องก็เอาเมนูอาหารทะเลมายั่วให้เราเปลี่ยนใจไปทานอาหารทะเลแทน
สวนสาธารณะทะเลสาบกันดอว์จี เปิดทุกวันตั้งแต่ 4.00-22.00น.
ส่วน ภัตตาคารการะเวก เปิดให้บริการเวลา 18.00-21.00น. ช่วงเวลาการแสดงระหว่าง 18.30-20.30น. ราคาบุฟเฟต์นานาชาติพร้อมชมการแสดง ราคาคนละ $25 จองล่วงหน้า 3 วันได้ทางโทรศัพท์หรือเว๊บไซต์ค่ะ เบอร์โทร +951-1-295744 Website: www.karaweikpalace.com
เจดีย์โบตะตาว (Botahtaung Pagoda)
หากมีการให้อันดับสถานที่ต้องห้ามพลาดในย่างกุ้งสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย รองลงมาจากเจดีย์ชเวดากองก็คงจะเป็นที่เจดีย์โบตะตาวนี่แหละค่ะ เพราะที่นี่เป็นที่ประดิษฐานของพระเกศาธาตุ อีกทั้งมีพิธีสักการะเทพทันใจและเทพกระซิบที่โด่งดัง หากที่ไหนเป็นที่เลื่องชื่อว่าให้พรศักดิ์สิทธิ์ คนไทยก็จะนิยมไปกันนั่นเอง 🙂
เจดีย์โบตะตาวอยู่ใกล้แม่น้ำย่างกุ้ง ซาซีขับรถไปจอดใกล้ริมน้ำ พวกเราเลยถือโอกาสเดินเล่นชมวิวริมแม่น้ำย่างกุ้งกันหน่อย แต่ไม่ค่อยมีอะไรมาก มีเพียงตู้คอนเทนเนอร์จำนวนมากเรียงรายอยู่บนฝั่ง (เชื่อไหมว่า เราถ่ายรูปเล่นกับตู้คอนเทนเนอร์นี่กันสักครู่ใหญ่เลย เพราะได้ฉากหลังสีสวยแฟนซีดีค่ะ) และเรือขนส่งสินค้าในแม่น้ำ นานๆทีจะเห็นเรือหางยาวลำเล็กที่ชาวบ้านใช้สัญจรข้ามฟากผ่านเข้ามา แต่ที่แปลกใจก็คือ น้องสาวชาวพม่าที่นั่งขายอาหารให้ปลากลางแดดร้อนๆอยู่ตรงริมน้ำ นานๆถึงจะมีผู้คนผ่านไปผ่านมาสักที
เดินเล่นตากรับลมริมแม่น้ำจนผิวเริ่มเกรียมได้ที่แล้ว พวกเราก็เดินกลับไปยังเจจดีย์โบตะตาว อีกหนึ่งไฮไลท์ของย่างกุ้งค่ะ
เจดีย์โบตะตาว (Botahtaung Pagoda)
“โบตะตาว” หมายถึง ทหาร 1,000 นาย ค่ะ โดยที่นี่มีประวัติอยู่ว่า…
กาลครั้งหนึ่งเมื่อสองพันปีก่อนนู่น กษัตริย์มอญได้ให้ทหารจำนวนถึง 1,000 นายมาเฝ้ารักษาพระเกศธาตุ ซึ่งถูกอัญเชิญจากอินเดียมาทางเรือ แล้วนำมาขึ้นฝั่งที่นี่ โดยแบ่งพระเกศธาตุ 1 เส้น จาก 8 เส้น มาประดิษฐานไว้โดยสร้างเจดีย์แห่งนี้ขึ้นมา ก่อนที่จะนำพระเกศธาตุที่เหลือไปยังเจดีย์ชเวดากองค่ะ
แต่เจดีย์โบตะตาวก็ได้ถูกระเบิดจากสงครามโลกครั้งที่สองทำลายจนหมดสิ้น ในระหว่างการบูรณะปฏิสังขรณ์เจดีย์ก็ได้มีการค้นพบผอบบรรจุพระเกศธาตุและพระบรมสารีริกธาตุ รวมทั้งสิ่งของมีค่าอีกมากมาย ช่วงที่ฉันเดินทางไปถึงก็ได้มีการบูรณะเจดีย์ภายนอกอีกครั้ง เราจึงไม่มีโอกาสได้ชมเจดีย์เหลืองทองอร่าม แต่ก็ได้ถือโอกาสร่วมทำบุญบูรณะเจดีย์เสียเลย
ตอนที่มีการบูรณะหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ได้มีการสร้างฐานเจดีย์ใหม่ ให้เป็นช่องทางเดินเล็กๆดูลึกลับซับซ้อนอย่างกับเขาวงกต และมีห้องเล็กๆที่ประดิษฐานพระเกศธาตุซึ่งเข้าชมได้ครั้งละไม่กี่คนและมีเหล็กกั้นป้องกันไว้ แต่เราก็ได้ตื่นตะลึงกับความงดงามของผนังห้องที่กรุด้วยทองคำอร่ามระยิบระยับเลยค่ะ
หลังจากสักการะพระเกศธาตุ พวกเราก็เดินออกไปยังศาลาริมน้ำด้านซ้ายของเจดีย์ เพื่อไปสักการะ “เทพทันใจ” หรือ “นัตโบโบยี” ซึ่งทั้งชาวไทยและชาวพม่าต่างมาอธิษฐานขอพร เพราะเชื่อกันว่า ขอสิ่งใดก็จะสมหวังแบบรวดเร็วทันใจกันเลยทีเดียว
“นัต” คือ เจ้าที่เจ้าทางหรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวพม่านับถือเป็นที่พึ่งทางใจกันมาช้านาน ตามตำนานบอกว่า ก่อนหน้าที่พระพุทธศาสนาได้ถูกสถาปนาขึ้นในพุกาม นัตมีอิทธิพลต่อชาวพม่ามาก มีการทรงเจ้าเข้าผีกันปกติ และนัตที่ชาวพม่านับถือมีทั้งหมด 36 ตน พระเจ้าอนิรุทธ์ หรือพระเจ้าอโนรธาผู้ซึ่งนำพระพุทธศาสนาเข้ามาเผยแพร่ได้พยายามให้ประชาชนเลิกนับถือนัต แต่ไม่ประสบความสำเร็จค่ะ จึงได้มีการจัดระเบียบหรือควบคุม โดยทรงแต่งตั้งให้พระอินทร์เป็นนัตที่ 37 และเป็นกษัตริย์แห่งนัต และสร้างความเชื่อว่านัตมีหน้าที่คุ้มครองเมือง ดูแลพุทธศาสนสถาน เราจึงเห็นนัตอยู่ตามวัดและเจดีย์ต่างๆทั่วไปเลยค่ะ พร้อมทั้งตั้งศาลหลวงขึ้นที่ที่เขาโปปา (Popa) หรือที่เรียกกันว่า “มหาคีรีนัต” ด้วย (ซึ่งก็เป็นอีกที่หนึ่งที่ฉันอยากไปชมสักครั้ง แต่ยังไม่มีโอกาสเลย)
ซึ่งการสักการะขอพรจากเทพทันใจนั้น ก็ต้องทำตามพิธีการของที่นี่ค่ะ โดยจะมีคนทำพิธี (คุณลุงห่มสไบเหลือง) และผู้ช่วย (น้องสาวยิ้มหวาน) คอยอธิบายวิธีสักการะให้เราแบบเป็นขั้นๆเลย ซึ่งทั้งสองคนสามารถพูดภาษาไทยได้แบบพอฟังเข้าใจได้ (เชื่อแล้วว่า คนไทยมาสักการะที่นี่เยอะจริงๆ)
- ซื้อเครื่องสักการะที่มีขายอยู่ด้านหน้าวัด ซึ่งประกอบด้วย ดอกไม้ มะพร้าวอ่อนกล้วย ใบชนะ ผ้าคล้องคอ ร่มฉัตรกระดาษ
- ถวายเครื่องสักการะแก่เทพทันใจ นั่งลงอธิษฐานขอพร (กราบโดยไม่ตองแบมือค่ะ)
- นำธนบัตรมาม้วนเป็นกรวย (ผู้ช่วยจะมาช่วยม้วนให้ด้วย) แล้วนำไปใส่มือของนัตโบยี 2 ใบ ไหว้ขอพรอีกครั้ง
- แตะหน้าผากกับนิ้วชี้กับนิ้วชี้ของนัตโบยี
- จับไม้เท้าของนัตโบยี โดยให้หน้าผากแตะไม้เท้าด้วย
- ดึงธนบัตร 1 ใบ สามารถนำกลับไปเก็บไว้บูชาได้ ส่วนธนบัตรอีกใบใส่ในตู้บริจาค
- นำผ้าไปคล้องคอเทพทันใจ เป็นอันจบพิธีค่ะ
การขอพรเทพทันใจนั้นมีข้อแม้ว่า “พรที่ขอทั้งหมดต้องเป็นสิ่งเดียวกัน ให้ขอเพียงอย่างเดียว และให้ขอในสิ่งที่เป็นไปได้” ค่ะ ซึ่งเราทั้งสามคนที่มีหน้าที่การงานค่อนข้างมั่นคงแล้ว แต่ยังคงความเป็นโสดอยู่ อายุก็ไม่น้อยกันแล้ว คงไม่ต้องบอกนะคะว่า พรที่เราสามคนขอแบบเดียวกันนั้น คือพรอะไร (ตอนนี้กำลังสงสัยว่า หรือสิ่งที่เราขอมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะสามสาวอินดี้ ยังครองความโสดกันอย่างเหนียวแน่นอยู่เลย แหะแหะ)
สาวน้อยยิ้มหวาน พูดไทยได้ชัด คอยช่วยพับช่วยม้วนธนบัตรให้พวกเรานำไปสักการะเทพทันใจ และยังให้ใบชนะเสียบไว้ในธนบัตรอีกใบที่พับให้สามารถพกพาเป็นที่พึ่งทางใจได้สะดวกด้วย)
ธนบัตรอีกใบที่น้องพับให้ ซึ่งฉันเก็บไว้ในกระเป๋าตังค์ตลอดเลยค่ะ
เมื่อขอพรเทพทันใจแล้ว พวกเราก็เดินออกมาจากศาลาด้วยความสบายใจ (และความหวัง) เพื่อไปยังฝั่งตรงข้ามกับทางเข้าเจดีย์ เป็นอาคารที่มี “เทพกระซิบ” หรือ “อะมาดอว์เมียะ/ เมี๊ยะนานหน่วย” ซึ่งเป็นนัตอีกองค์หนึ่งที่คนไทยนับถือ ตำนานบอกว่า อะมาดอว์เมียะเป็นธิดาพญานาคที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา โดยเชื่อกันว่าถ้าไปกระซิบขอพรห้ามให้คนอื่นได้ยินแล้วก็จะสมหวัง ขอพรเสร็จแล้ว เราสามคนก็แอบแซวกันเองว่า “ถึงแม้จะกระซิบ แต่ก็เดาออกนะว่าเธอขอพรว่าอะไร” (ก็อย่างเดียวกันกับที่ขอเทพทันใจนั่นแหละ อิอิ)
วิหาร “เทพกระซิบ” เป็นอาคารสีเขียวมีลายกระหนกทองอร่าม สวยดีค่ะ
หลังจากทำพิธีที่คนไทยบอกว่า ต้องมาทำให้ได้เมื่อมาถึงย่างกุ้งเสร็จแล้วทั้งสองพิธี เราก็เดินเล่นสำรวจบริเวณด้านหน้าเจดีย์โบตะตาว บรรยากาศคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวและชาวพม่า แม่ค้าพ่อค้ายิ้มแย้มแจ่มใสทักทายนักท่องเที่ยวชาวโยเดีย (คนพม่าเรียกคนไทยว่า โยเดียค่ะ) แถมบรรยากาศแถวๆนั้นคลาสสิคดีค่ะ
สุเลพญา ณ ใจกลางเมืองย่างกุ้ง
ณ จุดตัดของถนน Sule Pagoda และถนน Mahabandoola เราจะเป็นเจดีย์สุเล หรือที่ชาวพม่าเรียกว่า สุเลพญา (Sule Pagoda) โดดเด่นอยู่ตรงกลางเมืองย่างกุ้ง ซึ่งเจดีย์สุเลแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาแต่โบราณก่อนเจดีย์ชเวดากองเสียอีกค่ะ และเมื่อครั้งที่อังกฤษปกครองพม่าก็ได้วางผังเมืองโดยใช้เจดีย์สุเลนี้เป็นศูนย์กลาง มีถนนสายหลักตัดแยกออกไป 4 ทิศ คล้ายอนุสาวรย์ชัยสมรภูมิบ้านเราค่ะ
เจดีย์สุเลไม่ได้เป็นเพียงศูนย์กลางหรือวงเวียนของย่างกุ้งเท่านั้น แต่ชาวพม่ายังให้ความเคารพนับถือเดินทางมาสักการะที่เจดีย์แห่งนี้ไม่ขาดสายเลยค่ะ
เจดีย์สุเลเปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 4.00-22.00น. ค่าเข้าชม 2 ดอลล่าร์ (เราไม่ได้เข้าไปชมด้านในค่ะ เพราะข้ามถนนไม่ได้ ฮ่าาา ยอมแพ้)
ฝั่งตรงข้ามเจดีย์สุเล เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางเมืองที่ชื่อว่า สวนสาธารณะมหาบัณฑุละ (Maha Bandoola Park) เราจะเห็นชาวพม่ามานั่งพักผ่อนหย่อนใจปิคนิกกันในสวน รอบๆสวนก็มีของกินขายให้ซื้อเข้าไปนั่งกินในสวนได้ค่ะ
ด้านในสวนสาธารณะมหาบัณฑุละมีอนุสาวรีย์แห่งอิสรภาพ (Independence Monument) ที่สูงเสียดฟ้าเพื่อประกาสก้องจารึกนามของนักต่อสู้เพื่อกู้เอกราชมากจากอังกฤษ โดยการนำของนายพลอองซาน วีรบุรุษของพม่า
รอบๆเจดีย์สุเลเราจะได้เห็นอาคารตะวันตกที่สร้างขึ้นในสมัยที่อังกฤษยึดครองพม่า ถึงแม้จะผ่านกาลเวลาและบางแห่งจะไม่ได้รับการดูแล แต่ความงดงามของสถาปัตกรรมในยุคอาณานิคมก็ยังคงน่าชมอยู่ค่ะ
ศาลาว่าการย่างกุ้ง ซึ่งตั้งอยู่ข้างเจดีย์สุเลเลยค่ะ
โบสถ์คริสต์ขาวใจกลางเมือง
หอนาฬิกาอาคารแดง
เราเดินเล่นบริเวณรอบๆเจดีย์สุเลและสวนสาธารณะ วันนั้นฟ้าครึ้มอากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าว ด้านหน้าอาคารแดงมีร้านขายน้ำให้เราได้นั่งพักจิบน้ำเย็นๆ ฉันนั่งมองอาคารแดงหลังสวย แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า “ชาวพม่าจะมองอาคารหลังนี้ด้วยความสวยงาม หรือความเจ็บปวดกับอดีตมากกว่ากันนะ” และถึงแม้ว่า “อดีตอาจเจ็บปวด แต่ชีวิตของชาวพม่าก็ต้องเดินหน้าต่อไป”
มหาวิชยเจดีย์ (Maha Wizaya Pagoda)
บ่ายแก่ๆแล้วพวกเราขอให้ซาซีพาไปยังมหาวิชยเจดีย์ ก่อนที่จะไปชมเจดีย์ชเวดากองในยามเย็น ที่นี่เป็นเหมือนความงามที่ถูกลืม ถึงแม้จะอยู่กับเจดีย์ชเวดากองมาก แต่ก็มีใครหลายคนที่พลาดและมองผ่านความงามที่เจดีย์แห่งนี้ไป โดยส่วนตัวฉันชอบที่นี่มาก เจดีย์สีทองอร่ามตัดกับฟ้ายามทไวไลท์สวยจับใจ บรรยากาศรอบๆก็เงียบสงบมีเพียงชาวบ้านไม่กี่คนที่มาสักการะ
มหาวิชยเจดีย์ถูกสร้างขึ้นมาใหม่เมื่อปี 2523 นี่เองค่ะ แต่น่าสนใจมากค่ะ เมื่อเดินผ่านเพดานโค้งสู่กลางเจดีย์ก็จะเห็นความอลังการของโถงตรงกลางที่ประดิษฐานของพระพุทธเจ้า 8 องค์ ผนังรอบๆเป็นภาพพุทธประวัติของพระพุทธเจ้า เพดานเป็นท้องฟ้าที่มีรูปสัตว์ต่างๆ ทั้งช้าง ม้า นกยูง จระเข้ ฯลฯ ตามคติความเชื่อของพม่า ระเบียงโค้งรอบนอกก็มีการจัดเป็นนิทรรศการ จำลองวัดและเจดีย์ต่างที่สำคัญในพม่า หากใครเลยผ่านที่นี่ไป ก็นับว่าน่าเสียดายมากค่ะ
พวกเราสามสาวอินดี้ตะลอนท่องเที่ยวซอกแซกไปรอบๆเมืองย่างกุ้งกันมาทั้งวันแล้ว ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเรายังไม่มีรูปถ่าย “เราสามคน”ด้วยกันสักรูปเลย ก่อนที่แสงอาทิตย์จะลาลับไปและภาพจะมืดเกินไป เลยลองขอให้ซาซีถ่ายรูปหมู่ให้เราเป็นที่ระลึก โดยที่ไม่ได้ตั้งความหวังไว้ แต่เมื่อซาซียื่นกล้อองกลับมาให้พร้อมรอยยิ้ม ก็อดไม่ได้ที่จะเช็คภาพจากหน้าจอกล้อง แล้วก็ถึงกับอุทานออกมาว่า “เอ้ย ซาซีนี่ก็อินดี้ไม่เบาเลยนะ ลองดูรูปสิ”
โฉมหน้าสามสาว พี่เพลง-จุ๊-พี่เจแปน ผู้ร่วมขบวนการอินดี้หนีเที่ยวพม่าในครั้งนี้ค่ะ
มหาวิชยเจดีย์อยู่ใกล้กับเจดีย์ชเวดากองทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เปิดทุกวันตั้งแต่ 5.00-21.00น. ไม่เสียค่าเข้าชมค่ะ
มหาเจดีย์ชเวดากอง (Shwedagon Pagoda) เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของพม่า
พวกเราตั้งใจจะให้มาถึงมหาเจดีย์ชเวดากองในยามที่ฟ้ายังคงเป็นแสงสีทไลว์ไลท์ แต่เพราะใช้เวลาชื่นชมความงามของมหาวิชยเจดีย์กันนานไปหน่อย เมื่อเรามาถึงเจดีย์ชเวดากองเราก็ทันได้เห็นพระอาทิตย์ดวงกลมโตกำลังลาลับขอบฟ้าตรงทางเข้าเจดีย์พอดี
เป็นที่รู้กันว่า หากใครไม่ได้มาสักการะเจดีย์ชเวดากอง ก็คงเหมือนไม่ได้มาเยือนย่างกุ้ง หรือจะพูดว่าเหมือนไม่ได้มาเยือนพม่าเลยก็ได้ ที่นี่จึงเป็นเหมือนสถานที่ท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของพม่าเลยก็ว่าได้ค่ะ
มหาเจดีย์ชเวดากอง (Shwedagon Pagoda) คำว่า ชเว แปลว่าทอง และ ดากอง คือชื่อเมืองเก่าของย่างกุ้งค่ะ สร้างขึ้นโดยกษัตริย์มอญเมื่อพันกว่าปีก่อนมาแล้วค่ะ โดยมีตำนานเล่าว่า พระพุทธเจ้าทรงประทานพระเกศาธาตุ 8 เส้นให้กับพ่อค้าพี่น้อง 2 คน ซึ่งได้ถูกนำมาประดิษฐานในเจดีย์แห่งนี้ 2 เส้น ณ วันนั้น เจดีย์แห่งนี้เป็นเพียงเจดีย์เล็กๆ แต่กาลเวลาและแรงศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาของชาวพม่า กษัตริย์ทุกพระองค์ได้ทำนุบำรุง ต่อเติมและซ่อมแซม จนวันนี้ได้กลายเป็นมหาเจดีย์ที่มีความสูงถึง 99 เมตร มียอดที่ประดับเพชร 72 กะรัต และองค์เจดีย์ที่หุ้มด้วยทองคำกว่า 1,100 กิโลกรัมเลยค่ะ ลองคำนวณดูนะคะว่ามีมูลค่ามหาศาลแค่ไหน ที่นี่จึงเปรียบเสมือนเจดีย์แห่งแรงศรัทธาของชาวพม่าจริงๆ
เจดีย์ชเวดากองตั้งอยู่บนเนินเขา และมีทางขึ้นเจดีย์ทั้งสี่ทิศ เหนือ ใต้ ออก ตก เราสามารถที่จะเลือกขึ้นบันไดหรือขึ้นลิฟต์ที่มีทางทิศใต้เท่านั้นค่ะ และแน่นอนว่าซาซีพาพวกเรามาทางทิศใต้เพื่อขึ้นลิฟท์ ช่างรู้งานและรู้ใจกันจริงๆ ก็เหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว เมื่อเดินออกมาถึงลานก็ต้องตะลึงงันราวกับก้าวสู่ดินแดนสรวงสวรรค์ เจดีย์ทององค์ใหญ่ตระหง่านอยู่ตรงหน้า สวยงามสมคำร่ำลือ เคยคิดว่าภาพถ่ายนานาที่เคยเห็นงดงามหนักหนาแล้ว แต่เมื่อได้มาเห็นเจดีย์ชเวดากองกับตาตัวเอง ก็ต้องยอมรับว่า ด้วยบรรยากาศรอบๆและภาพแห่งความศรัทธาที่ได้เห็น มันช่างสวยงามอัศจรรย์ใจเกินกว่าภาพถ่ายใดจะถ่ายทอดออกมาได้
เจดีย์ทองน้อยใหญ่ที่เรียงรายอยู่รอบๆเจดีย์องค์ใหญ่ราวกับต้นไม้แห่งธรรมที่งดงามอยู่กลางป่า พระพุทธรูป สถูป วิหาร และลานกว้างที่เต็มคลาคล่ำไปด้วยพุทธศาสนิกชนตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงผู้เฒ่า รวมไปถึงพระ เณร แม่ชี และนักท่องเที่ยวทั้งชาวพม่า ไทย เอเชีย และยุโรป บ้างก้มลงกราบพระอย่างนอบน้อม บ้างนั่งปฏิบัติธรรมอย่างสงบแน่วแน่ บ้างเดินจงกรมกำหนดจิต บ้างกำลังสรงน้ำพระปจะวันวันเกิด ล้วนเป็นภาพบรรยากาศแห่งศรัทธาที่น่าประทับใจมาก
ขณะที่กำลังเดินชมบรรยากาศ ณ ลานเจดีย์อยู่นั้น ก็พลันไปเห็นซาซีกำลังสอนฝรั่งนุ่งโสร่งอยู่ เป็นภาพที่อดยิ้มออกมาไม่ได้เลย น่ารักดีใช่ไหมคะ
การบูชาพระและสิ่งต้องห้ามพลาดเมื่อมาถึงเจดีย์ชเวดากอง
- เริ่มต้นด้วยการไหว้พระพุทธเจ้าตรงวิหารทิศใดทิศหนึ่ง สวดมนต์ภาวนา จุดธูปเทียน และถวายดอกไม้ประดับธง
- ไหว้พระและสรงน้ำพระประจำวันเกิดซึ่งประดิษฐานอยู่ทั้งแปดทิศ การสรงน้ำพระเท่าอายุบวกหนึ่ง
- เดินประทักษิณ หรือเดินตามเข็มนาฬิกา ตั้งจิตอธิษฐานขอพรรอบเจดีย์หนึ่งรอบ
- ถวายปัจจัยเพื่อทำนุบำรุงองค์เจดีย์และพระศาสนา ตามกำลังศัทธา
- สักการะพระพุทธเจ้าให้ครบทั้งสี่ทิศ
- สักการะต้นศรีมหาโพธิ์ทั้งสองต้น
- ตีระฆังใบใดใบหนึ่งที่ตั้งอยู่โดยรอบเจดีย์ เพื่อให้เทพยดาบนสรวงสวรรค์อนุโมทนารับส่วนบุญ
- และที่สำคัญที่สุดคือการเดินชมสถาปัตยกรรม ประติมากรรมล้ำค่า งานประดับกระจก ไม้แกสลักโดยช่างฝีมือพม่า ส่องประกายเพชรแวววับบนยอดเจดีย์
อาทิตย์ลับฟ้า แสงไฟสีอุ่นอาบลงที่ตัวเจดีย์ มหาบูชาสถานแห่งนี้สวยงามทั้งกลางวันและกลางคืน สะท้อนจิตวิญญาณของชาวพม่า เหมือนแสงแห่งพุทธที่สว่างไสวอยู่ในความมืด เป็นภาพที่ยังคงงดงามอยู่ในใจไม่เคยลืม
หลังเลิกงาน พี่หน่องแวะมาหาพวกเราที่เจดีย์ชเวดากองตอนค่ำ เพื่อไปทานอาหารเย็นด้วยกัน ก่อนที่พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทางไปเมืองอื่นกันแล้ว ก่อนจากกัน ฉันหันกลับไปมองเจดีย์ชเวดากองอีกครั้ง แสงแห่งพุทธที่สว่างไสวในความมืดตรงหน้า ทำให้ฉันสัญญากับตัวเองว่า วันหนึ่งฉันจะกลับมาสักการะมหาเจดีย์แห่งนี้อีกครั้ง
เจดีย์ชเวดากองตั้งอยู่บนถนน Shwedagon เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 4.00-22.00 น. ค่าเข้าชม 8 USD
อาหารทะเลย่างกุ้ง รับประกันความอร่อย แต่ไม่รับประกันความสะอาดนะจ๊ะ
พวกเราส่งท้ายวันที่ย่างกุ้งกันด้วยอาหารทะเลที่พี่หน่องโฆษณาให้เราฟังตั้งแต่ก่อนไปถึงย่างกุ้งว่า อร่อยนักหนา เมนูโปรดของพี่หน่องคือกั้งทอดกระเทียมและหอยไม้ไผ่ แกล้มด้วยเบียร์พม่า อาหารทะเลสดและอร่อยมากค่ะ นี่ถ้าได้พกน้ำจิ้มซีฟู้ดจากไทยไปด้วย มื้อนี้ก็คงจะอร่อยแซ่บครบรสกว่าเดิม
เคยได้ยินคำบอกเล่าถึงร้าน Premier แห่งนี้มาบ้างว่า อร่อย แต่ไม่ค่อยสะอาด บ้างก็ว่าเจอแมลงสาบวิ่งที่พื้น บ้างก็ว่ากลับมาท้องเสีย นับเป็นความโชคดีของเราสามคนที่ไม่เจอทั้งแมลงสาบและไม่มีอาการอาหารเป็นพิษแต่อย่างใด นับว่ามื้อนี้อร่อยฟินถูกใจมากที่สุดมื้อหนึ่งในพม่าเลยค่ะ ขอให้เจ้าภาพจงเจริญ ขอขอบคุณพี่หน่องสำหรับอาหารอร่อย ข้อมูลการเดินทาง และที่พักสบายๆในย่างกุ้งมา ณ ที่นี้
หลายๆคนอาจมองย่างกุ้งเป็นเพียงทางผ่านไปเมืองอื่นๆในพม่า หรือมองว่าย่างกุ้งมีเพียงวัดวาอารามไม่น่าสนใจแต่อย่างใด แต่สำหรับฉัน ย่างกุ้งเป็นเหมือนหนังสือดีๆเล่มหนึ่งที่เราจะได้รู้จักทั้งประวัติศาสตร์ การวางผังเมือง เศรษฐกิจ กาคมนาคม ศิลปวัฒนธรรม วิถีชีวิตและศาสนารวมอยู่ในเล่มเดียว อย่ามองย่างกุ้งผ่านแบบเลยไป ลองใช้เวลาลัดเลาะซอกแซกไปในย่างกุ้ง แล้วคุณอาจจะหลงรักเมืองหลวงเก่าของพม่าแห่งนี้ก็ได้ค่ะ
แล้วเจอกันใหม่ในการเดินทางสู่พม่าดินแดนพุทธภูมิในตอนต่อไปนะคะ
ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนถึงบรรทัดนี้
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆเพื่อการเตรียมตัวเที่ยวย่างกุ้งค่ะ
LikeLike
ขอบคุณค่ะ หวังว่าข้อมูลคงเป็นประโยชน์ กลับมาเล่าให้ฟังบ้างนะคะ
LikeLike