ดินดอนสามเหลี่ยมแม่น้ำโขง…ลัดเลาะเกาะแก่งแห่งเมืองหมีเทอ

ฉันมีโอกาสเดินทางไปทำงานที่โฮจิมินห์หรือไซง่อนบ่อยครั้ง จนเริ่มคุ้นเคยกับคุณลุงโฮแล้ว                             สำหรับฉัน เมืองลุงโฮมีหลายๆอย่างที่คล้ายคลึงกับกรุงเทพฯของเรา เพียงแต่มีขนาดที่เล็กกว่าเท่านั้น    สิ่งที่ฉันประทับใจเมืองลุงโฮในมุมที่คล้ายกับกรุงเทพฯก็คือ อาหารอร่อย ทั้งร้านข้างถนนไปจนถึงภัตตาคารหรู และที่นี่มีร้านกาแฟหรือคาเฟ่ชิคๆชิลล์อยู่ทั่วเมือง

ทริปทำงานสุดท้ายในเมืองลุงโฮของปี 2014 ฉันก็อยู่เที่ยวต่อในวันหยุดเสาร์อาทิตย์อีกเช่นเคย แต่ราวนี้คิดหนักว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี เริ่มเบื่อความวุ่นวายในเมืองหลวง อยากหาที่พักผ่อนหย่อนกายหย่อนใจ แต่จะไปไกลถึงดาลัดหรือมุยเน่ก็มีเวลาไม่พอ แล้วจู่ๆก็นึกขึ้นได้ว่า เพื่อนสาวชาวฝรั่งเศสที่เพิ่งกลับมาจากท่องเที่ยวเวียดนามใต้บอกฉันว่า “เธอควรไป Mekong Delta นะ ฉันว่าเธอน่าจะชอบที่นั่น” แล้วเธอก็บอกเล่าเรื่องราวความประทับใจที่นั่นให้ฉันฟังคร่าวๆ ฉันเริ่มหาข้อมูล สอบถามจากอากู๋(เกิ้ล) แต่แทบจะหาข้อมูลได้ไม่มาก รู้เพียงว่า ฉันสามารถเดินทางแบบเร่งรัดไปยังดินแดนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง หรือ Mekong Delta ได้ในเวลาเพียงสองวัน และภาพถ่ายกระท่อมน้อยริมน้ำแห่งหนึ่งก็เป็นแม่เหล็กดึงดูดให้ฉันตัดสินใจเดินทางไปที่นั่นด้วยข้อมูลที่พกติดตัวไปด้วยอย่างน้อยนิด

ฉันบอกเล่าแผนการเดินทางไปพักที่ Mekong Delta ให้กับเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่คนไทยที่ไปทำงานด้วยกันในครั้งนี้ พี่ตู่ตอบรับการชักชวนของฉันโดยแทบไม่ถามรายละเอียดสักนิดเดียว (ใจง่ายจัง ชอบจริงๆคนแบบนี้) นับเป็นการเดินทางท่องเที่ยวด้วยกันครั้งแรกของฉันกับพี่ตู่

เนื่องด้วยเรามีเวลาไม่ถึงสองวันเต็มหลังเสร็จสิ้นภารกิจการทำงานที่โฮจิมินห์ เราสองคนจึงตัดสินใจยอมควักกระเป๋าเหมารถไปเที่ยวที่นั่นในเช้าวันเสาร์ และกลับมาส่งพวกเราที่สนามบินโฮจิมินห์ในบ่ายแก่ๆวันอาทิตย์ ไม่ใช่ว่าสองเราจะกระเป๋าหนัก แต่ด้วยเวลาที่จำกัด การลงทุนแบบนี้ถือเป็นการซื้อเวลาเพื่อจะได้มีเวลาในการเดินทางที่นั่นมากขึ้น (เงินเบี้ยเลี้ยงจากการทำงาน ก็เลยได้นำมาเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับทริปนี้ ก็คุ้มนะ)

ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง (Mekong Delta) ถือเป็นดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ค่ะ ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำโขงทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเวียดนาม โดยบริเวณนี้กินพื้นที่ของหลายจังหวัด และเป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลกด้วยค่ะ โดยในการเดินทางครั้งนี้ฉันจะไปชมวิถีชีวิตในเมือง My Tho และ Can Tho

แผนที่บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมแม่น้ำโขง (ที่มา วิกิพีเดีย)

deltamap

 

เรานัดคนขับรถมารับที่โรงแรมในตัวเมืองโฮจิมินห์ตั้งแต่ 7 โมง ในเช้าวันเสาร์ คนขับมุ่งหน้าไปทางทิศใต้เพื่อไปยังเมือง My Tho ฉันพยายามตั้งใจฟังเพื่อนชาวเวียดนามหลายคนออกเสียงเรียกชื่อเมืองนี้ บางคนเรียก หมีเทอ บางคนเรียก หมีทอ บางคนออกเสียงเป็น หมีโท ภาษาเวียดนามเป็นภาษาที่ฟังยากมากภาษาหนึ่งในโลกนี้ ฟังมากๆนานๆก็จะปวดหัวได้เหมือนกัน ขนาดคนเวียดนามยังเรียกไม่เหมือนกัน แล้วเราจะเรียกว่าอะไรดี เอาเป็นว่า ขอเรียกเป็น หมีเทอ ก็แล้วกัน มันย่อมาจาก หมีของเธอ (เกี่ยวมั๊ย)

เมืองหมีเทอ ห่างจากโฮจิมินห์ประมาณ 70 กิโลเมตรค่ะ ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจรในเมืองลุงโฮวันนั้นๆ (ซึ่งปกติก็จะติดและจอแจไปด้วยรถมอเตอร์ไซต์ สมกับเป็นเมืองหลวงแห่งมอเตอร์ไซต์โลกจริงๆค่ะ) เมืองหมีเทอจะเป็นทางผ่านไปยังเมือง Can Tho จุดหมายปลายทางที่พักของเราค่ำคืนนี้ และเป็นอีกเมืองที่ต้องตกลงในใจอยู่นานว่าจะเรียกว่าอะไรดี สุดท้ายฉันของเรียกเมืองนี้ว่า เกิ่นเทอ ซึ่งจะอยู่ห่างจากเมืองหมีเทอไปอีกกว่า 100 กม.

Screen Shot 2015-05-22 at 5.48.21 pm

 

เมืองหมีเทอ ตั้งอยู่ในจังหวัดเตียงยาง หรือ Tien Giang (เห็นมั๊ยว่าภาษาเวียดยากจริง ครั้งแรกอ่านเป็น เทียนเกียง เพื่อนชาวเวียดฟังไม่เข้าใจ บอกว่าต้องเรียก เตียงยาง) ซึ่งอยู่ใกล้บริเวณที่แม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขงไหลออกสู่ทะเลจีนใต้ ด้วยตำแหน่งที่ตั้งทำให้จังหวัดเตียงยางเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำโขง ทั้งยังเป็นเมืองท่าทางการค้าสำคัญกับประเทศกัมพูชาอีกด้วยค่ะ

เมื่อเข้าเขตเมืองหมีเทอ ฉันบอกคนขับว่าจะไปทัวร์ตามเกาะแก่งต่างๆบนดินดอน พร้อมเปิดภาพในมือถือให้เขาดูเพื่อความมั่นใจว่าเราจะไปไม่ผิดที่ คนขับพยักหน้ารับและบอกว่ามีทัวร์อยู่ที่เดียวบริษัทเดียว เป็นทัวร์กึ่งสำเร็จรูปแบบผูกขาด ก็ไม่รู้ว่าจะออกมาเป็นยังไง แต่ไหนๆก็มาแล้ว…จัดไปให้รู้

คนขับพาเรามาที่ท่าเรือแห่งหนึ่ง ซึ่งมีเต้นท์ของบริษัททัวร์ตั้งอยู๋ เราเข้าไปพูดคุยและต่อรองราคา (คนละ 40 USD สำหรับการเดินทาง 3-4 ชั่วโมง แพงเอาเรื่องเหมือนกันนะ) หัวหน้าทัวร์อธิบายแผนการเดินทางให้ฟังคร่าวๆ เราตกลงปลงใจอย่างง่ายดายเพราะไม่ทราบข้อมูลของที่นี่มากนัก เอาไงเป็นกัน

ที่ท่าเรือมีเรือจอดอยู่หลายลำ หัวหน้าทัวร์หรือเจ้าของก็ไม่ทราบได้ ชี้ไปทางเรือลำที่ให้บริการพวกเรา ซึ่งมีไกด์ยืนยิ้มต้อนรับอยู่ เพียงแว๊บแรก…ฉันก็รู้สึกถูกชะตากับคุณลุงไกด์ทันที

Mekong_001

Mekong_010

 

หลังจากหาที่นั่งในเรือ(ซึ่งกว้างขวางมากสำหรับเราสองคน) เราก็แนะนำตัวกับคุณลุงไกด์ คุณลุงชื่อว่า Hou ซึ่งแปลว่า Flower หรือดอกไม้ (ชื่อหวานมาก) ฉันจึงขออนุญาตเรียกคุณลุงว่า คุณลุงดอกไม้ แล้วกันนะคะ

Mekong_002

 

เมื่อเรือเริ่มเคลื่อนตัวห่างจากฝั่งออกมาอยู่กลางแม่น้ำ เราก็จะเห็นสะพาน Rach Mieu ซึ่งเชื่อมต่อเมือง My Tho และ Ben Tre ด้วยกัน ทำให้การสัญจรระหว่างเมืองต่างๆในดินดอนแม่น้ำโขงสะดวกมากขึ้น จากที่สมัยก่อนต้องเดินทางด้วยเรือข้ามฟากเพียงอย่างเดียว

Mekong_003

 

คุณลุงดอกไม้ เริ่มเล่าให้เราฟังว่า แถวนี้ประกอบด้วยเกาะใหญ่ๆที่สำคัญอยู่ 4 แห่งคือ

1. Can Tan Long (Dragon island) เป็นเกาะที่ใกล้ที่สุดและมีคนอาศัยอยู่หนาแน่นที่สุด

2. Con Lan (Unicorn island) เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นสวนผลไม้เมืองร้อนของเกษตรกรแถวนี้

3. Con Qui (Turtle island) เป็นเกาะที่เล็กที่สุดและเป็นเกาะเดียวที่ราจะไม่ได้แวะชม

4. Con Phung (Phoenix island) เป็นเกาะเป็นสถานที่พักผ่อนและเป็นที่ตั้งของ Coconut monk pagoda

เริ่มได้บรรยากาศคล้ายๆเวลาไปเที่ยวเกาะเกร็ดเมืองนนท์ หรือเที่ยวพระประแดง อะไรประมาณนั้นเลยค่ะ

ภาพบริเวณเกาะแก่งที่เรากำลังจะไปเที่ยวกันค่ะ

mekong_delta_map_my tho

 

เกาะแรกที่พวกเราแวะชมก็คือ เกาะยูนิคอร์น (Unicorn island) เมื่อมาถึงบนเกาะเราก็จะเจอทางเดินเป็นถนนลูกรังเล็กๆ

Mekong_005

 

เดินไปไม่ไกลจะจะเจอกับเพิงขายของพวกเสื้อผ้า กระเป๋า และของที่ระลึกประจำท้องถิ่น สังเกตว่าแฟชั่นผ้าปิดจมูกที่เวียดนามจะมีสีสันและลวดลายให้เลือกมากมายไม่แพ้แฟชั่นหมวกกันน็อคเลย เพราะคนที่นี่ขับขี่มอร์เตอร์ไซต์กันเป็นหลักนั่นเองค่ะ

Mekong_004

 

จุดแรกที่คุณลุงพาเราสองคนแวะเข้าไปก็คือฟาร์มเลี้ยงผึ้ง (Bee farm) ซึ่งทัวร์ที่นี่ค่อนข้างสำเร็จรูปค่ะ เมื่อเราเดินเข้าไป พนักงานก็จะจัดที่จัดทางให้เรานั่ง จากนั้นก็เอารังผึ้งที่เลี้ยงในฟาร์มมาให้ชมเป็นตัวอย่าง แล้วก็มีสาวน้อยมาเสริ์ฟชาน้ำผึ้งให้ชิม พร้อมทั้งผลิตภัณฑ์จากผึ้งในฟาร์มมาให้เลือกซื้อ ถึงแม้ทุกอย่างจะถูกเซ็ตไว้เรียบร้อย แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำให้เราอึดอัดใจ คุรลุงบอกว่า ถ้าชอบถ้าติดใจจะซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านตามสะดวก ไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร เมื่อได้ยินเช่นนั้น เราก็กระดกชาน้ำผึ้งในแก้วจนหมด แล้วยิ้มให้พนักงานและส่ายหน้าเป็นสัญญาณว่าไม่ขอซื้อผลิตภัณฑ์ใดๆกลับไป เพราะน้ำผึ้งที่นี่ไม่ได้แตกต่างจากบ้านเรานัก และราคาค่อนข้างสูงตามมาตรฐานเมืองท่องเที่ยว

Mekong_011

Mekong_012

Mekong_008

 

ออกจากฟาร์มเลี้ยงผึ้ง เราก็ไปต่อที่สวนผลไม้ เห็นบรรยากาศครั้งแรกนึกว่าที่นี่คือร้านอาหารค่ะ มีโต๊ะเก้าอี้เรียงราย พอนั่งปุ๊บก็จะมีผลไม้ประจำท้องถิ่นมาเสริ์ฟให้จานใหญ่เลย ทั้งสับปะรด แตงโม ฝรั่ง ละมุด ทานกันจนอิ่ม แถมยังมีวงดนตรีท้องถิ่นมาขับกล่อมและร้องเพลงประมาณเพลงลูกทุ่งของเวียดนามใต้ แปลกดีนะ นั่งกินผลไม้เคล้าเสียงเพลง ซึ่งที่นี่เราก็ไม่ต้องเสียค่าผลไม้ถาดนั้นเพราะรวมอยู่ในทัวร์แล้วนั่นเอง นอกเสียจากจะซื้อผลไม้กลับบ้านหรือให้ทิปวงดนตรีนะคะ


Mekong_007

Mekong_014

Mekong_015

 

ได้ยินชื่อเสียงเรื่องความงามของสาวเวียดนามมานาน ขอยอมรับว่าผู้หญิงที่ดีผิวพรรณดี หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มพริ้มเพราจริงๆค่ะ เวียดนามน่าจะเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคอาเชียนที่ฉันไม่ถูกทักว่าหน้าตาละม้ายคล้ายคนท้องถิ่น ไม่เหมือนเวลาไปเที่ยวประเทศพม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย หรือฟิลิปปินส์ที่ฉันสามารถทำตัวเนียนๆแบบโลคอลได้สบายๆ

Mekong_009

 

เมื่อเดินออกมาทางด้านหลังร้านผลไม้ เห็นภาพหนุ่มเวียดกำลังทานเฝออย่างเอร็ดอร่อย อดยิ้มให้กับท่านั่งของพี่เขาไม่ได้เลย

Mekong_016

 

คุณลุงดอกไม้เดินนำเราสองคนไปเลาะไปผ่านสวนผลไม้ของชาวบ้าน ที่เห็นเยอะก็จะเป็นต้นมะพร้าว ขนุน มะม่วง ละมุด และกล้วยค่ะ ระหว่างทาง…เราเริ่มพูดคุยกับคุณลุงดอกไม้สนิทใจกันมากขึ้น ฉันเลยเอ่ยปากถามไปว่า “คุณลุงเรียนภาษาอังกฤษจากที่ไหนคะ เพราะคุณลุงสำเนียงดีมากๆ” คิดในใจว่าสมัยคุณลุงวัยใกล้เกษียรแบบนี้จะไปเรียนภาษาอังกฤษจากที่ไหนที่ไม่ติดสำเนียงฝรั่งเศสที่เวียดนามเคยตกเป็นอาณานิคมหรือติดสำเนียงเวียดมาเลยแม้แต่เล็กน้อย ด้วยคำถามนี้ คุณลุงก็เริ่มเล่าประวัติส่วนตัวให้เราฟัง

 

ก่อนสมัยสงครามเวียดนาม คุณพ่อของคุณลุงทำงานให้กับทหารอเมริกาที่มาทำงานอยู่ในเวียดนาม ทำให้คุณลุงได้มีโอกาสเรียนและฝึกพูดภาษาอังกฤษของเจ้านายคุณพ่อ (นั่นไง) ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ครอบครัวของคุณลุงกำลังรุ่งเรืองมีฐานะดี แต่เพราะเหตุการณ์ทางการเมืองในช่วงสมัยสงครามเวียดนาม ฝ่ายคอมมิวนิสต์เริ่มเข้ามากประเทศจีนและมามีอิทธิพลในประเทศเวียดนาม …แล้วฉันก็ถูกรื้อฟื้นวิชาประวัติศาสตร์เวียดนามจากคุณลุง….จนมาถึงช่วงที่มีการต่อสู้กันอย่างหนัก รัฐบาลเวียดนามเริ่มเข้าเป็นส่วนหนึ่งกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ ทำให้ชาวเวียดนามที่เคยทำงานให้กับชาวอเมริกันซึ่งอยู่ฝ่ายตรงข้ามต้องถูกกำจัด คุณลุงทราบข่าวการเสียชีวิตของคุณพ่อโดยที่ไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง หลังจากนั้นครอบครัวของคุณลุงก็ต้องถูกยึดทรัพย์จากรัฐบาล จนกลายเป็นครอบครัวที่ล้มละลาย ชีวิตพลิกผันต้องมาทำงานหาเช้ากินค่ำและอดมื้อกินมื้อ น้ำเสียงเรียบๆที่ถ่ายทอดเรื่องราวมาให้คนแปลกหน้าต่างชาติต่างภาษาฟังเจือปนไปด้วยความเจ็บปวด เราได้แต่ฟังเงียบๆแล้วพูดออกไปว่า ” I am so sorry to hear that” ด้วยความรู้สึกเสียใจไปกับคุณลุงและครอบครัวจากใจจริง

อีกครั้ง ที่เราได้ตะหนักว่า…สงครามที่เกิดจากคนเห็นแก่ตัวไม่กี่คน ไม่เคยให้ประโยชน์กับผู้ใดอย่างแท้จริง

Mekong_017

เรื่องราวชีวิตดราม่าของคุณลุงถูกกดปุ่ม pause พักไว้ชั่วคราว เมื่อเราเดินมาจนสุดปลายสวน เราก็มาเจอคลองเล็กๆ ชื่อว่า คลอง Vam Chua โดยจะมีเรือพายลำเล็กๆของชาวบ้านจอดเรียงรายรอนักท่องเที่ยวอยู่ เรือหนึ่งลำสามารถรับผู้โดยสารมากที่สุดสี่คน มีคนพายเรือสองคนที่หัวเรือและท้ายเรือ เราขึ้นเรือตามลำดับคิว คุณลุงและคุณป้าค่อยๆจ้วงพายออกไปตามลำคลอง

Mekong_018

Mekong_019

 

ที่เคยเกริ่นๆไว้ตอนพาไปเที่ยวซาปาว่า ผู้หญิงเวียดนามทำงานหนักและตั้งใจทำงานมาก มาเที่ยวเวียดนามใต้ก็เห็นเช่นนั้นไม่ต่างกันเลยค่ะ ภาพนี้น่าจะยืนยันความแข็งแกร่งและมุ่งมั่นตั้งใจของสาวเวียดได้

 

Mekong_039

เราลอยล่องไปตามลำคลองขนาดไม่ใหญ่ที่ขนาบไปด้วยป่าจากค่ะ บรรยากาศร่มรื่นให้เราเพลิดเพลินสอดส่ายสายตามองซ้ายมองขวา มองหาลูกจาก ปลาตีน และสัตว์เล็กสัตว์น้อยบริเวณป่าชายแดน ใช้เวลาในลำคลอง Vam Chua ประมาณ 15 นาที ก่อนที่เรือลำเล็กจะพาเราออกมาที่แม่น้ำอีกครั้งเพื่อกลับมาขึ้นเรือใหญ่สำหรับขึ้นเรือไปเที่ยวที่อื่นกันต่อค่ะ

Mekong_021

Mekong_022

เมื่อออกมาสู่แม่น้ำใหญ่อีกครั้ง เราจะเริ่มเห็นชาวบ้านกับเรอส่วนตัวของพวกเขามากขึ้น (ก่อนหน้านี้เห็นแต่เรือบริการนักท่องเที่ยวเป็นส่วนใหญ่) คุณลุงคนนี้กำลังพายเรือไปขนโคลนมาจากชายเลนใกล้ๆเกาะ เพื่อนำไปถมท่าน้ำหน้าบ้านตัวเองค่ะ Mekong_023

Mekong_071

 

จากนั้นไม่นานเราก็มาถึงเกาะ Con Phung หรือ Phoenix island ที่นี่นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่สุดบริเวณนี้ เพราะมีทั้งรีสอร์ทและสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ Coconut monk pagoda สมัยก่อนที่นี่เคยเป็นสำนักปฏิบัติธรรมของ Coconut monk ซึ่งเป็นผู้นำลัทธิทางศาสนานิกายหนึ่งที่เคยมีชื่อเสียงมากบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ภายหลังลัทธินี้ก็ได้ถูกกำจัดไปโดยทางการของประเทศเวียดนามในช่วงก่อนสงครามเวียดนาม (Vietnam war) และได้ปรับเปลี่ยนเกาะแห่งนี้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว มีรีสอร์ทสำหรับเป็นที่พักผ่อนและเปลี่ยนสถานที่ปฏิบัติธรรมให้เป็นพิพิธภัณฑ์

เมื่อขึ้นมาบนเกาะ เราก็จะเจอบรรยากาศรีสอร์ทที่ร่มรื่น มีสระบัวขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้า มีร้านขายของที่ระลึกเป็นผลิตภัณฑ์จากส่วนต่างๆของมะพร้าวเป็นส่วนใหญ่ Mekong_024

Mekong_025

Mekong_029

 

เมื่อเดินเข้ามาบริเวณด้านใน ก็จะมีที่เดินเล่นรอบๆคลองที่(น่าจะ)ขุดลอกขึ้นมา ร้านอาหาร ศาลาให้นั่งพักผ่อน ยังมีสระน้ำขนาดใหญ่ที่เลี้ยงจระเข้ไว้หลายตัว นึกว่ามาเที่ยวฟาร์มจระเข้สมุทรปราการเลยค่ะ ที่นี่ยังมีบ้านพักขนาดกลางที่บริหารโดยรัฐบาลไว้ให้บริการด้วยนะคะ (ส่วนตัวคิดว่าไม่ค่อยน่าพักเท่าไหร่)

Mekong_026

Mekong_027

ตลอดเวลาที่เราอยู่ในบริเวณเวียดนามใต้และสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง จะสังเกตเห็นธุรกิจชนิดหนึ่งที่กำลังรุ่งเรืองมากในบริเวณแถบนี้ที่เรียกว่า Hammock cafe ฉันขอเรียกว่า คาเฟ่เปลญวน คุณลุงดอกไม้บอกว่า บริการให้เช่าเปลญวนนี่มีมานานแล้ว เพราะคนแถบนี้นิยมนอนพักบนแปลญวนเวลาพักกลางวัน หลังทำงานหนักก็ของีบกันสักพักหนึ่ง แต่ปัจจุบันคาเฟ่เปลญวนมีการเติบโตและมีรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น ตั้งแต่ผูกเปลใต้ร่มไม้ ใต้อาคารโล่งๆที่มีแต่หลังคา เปิดคู่กับสภากาแฟ จนไปถึงเปิดเป็นคาเฟ่ชิคๆที่เริ่มเป็นที่นิยมสำหรับชาวแบคแพคเกอร์ชาวตะวันตก เห็นบรรยากาศแล้วก็อยากไปล้มตัวลงนอนให้เปลไกวกล่อมนอนกลางวันบ้าง แต่เรามีเวลาค่อนข้างจำกัดเอาไว้โอกาสหน้าก็แล้วกัน นึกถึงสมัยเด็กๆที่บ้านของฉันก็มีแปลแบบนี้ผูกไว้ให้นอนเล่นหลังบ้าน

Mekong_028

 

อากาศวันนั้นค่อนข้างร้อนอบอ้าว เราเดินเล่นกันสักพักก็ต้องขอเวลานั่งพักจิบกาแฟเวียดเย็นๆกันคนละแก้ว

Ca phe Sua da คือกาแฟสไตล์เวียดนาม เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่ได้จากการชงแบบหยด ชงโดย การหยดน้ำผ่านตะแกรงโลหะลงไปในถ้วย ซึ่งมีผลให้ได้น้ำกาแฟเข้มข้นกาแฟสไตล์เวียดนาม เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่ได้จากการชงแบบหยด ชงโดย การหยดน้ำผ่านตะแกรงโลหะลงไปในถ้วย ซึ่งมีผลให้ได้น้ำกาแฟเข้มข้นค่ะ ส่วนตัวแล้วจุ๊ไม่ค่อยนิยมกาแฟเวียดแบบชงร้อนสักเท่าไหร่ เพราะจะขมคอมาก แต่ถ้าเป็นชงกับนมข้นหวานเย็นๆนี่อร่อยถูกใจเลย

Mekong_031

 

เมื่อรู้สึกสดชื่นขึ้นแล้ว คุณลุงดอกไม้ก็พาเราเดินต่อไปยังฝั่งที่เป็นพิพิธภัณฑ์ Con Phung เมื่อก่อนที่นี่เคยเป็นสำนักปฏิบัติธรรมของ Coconut monk เป็นที่รู้จักกันว่า Coconut monk pagoda ซึ่งเป็นผู้นำลัทธิหนึ่งในเวียดนามใต้ที่มีความผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ (ที่ท่านได้รับมาจากการไปเรียนวิศวกรรมศาสตร์ที่ประเทศฝรั่งเศสมาหลายปี) โดยลัทธินี้ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1763 ค่ะ ที่ท่านผู้นำถูกเรียกว่า Coconut monk เพราะท่านและนักปฏิบัติที่อาศัยอยู่ที่นี่ทุกคนจะกินมะพร้าว ดื่มน้ำมะพร้าวเป็นอาหารเท่านั้น รวมถึงใช้ประโยชน์จากส่วนต่างๆของมะพร้าวในชีวิตประจำวัน

ที่นี่ถูกปิดตัวลงโดยรัฐบาลเวียดนามเมื่อปี ค.ศ. 1975 เพราะรัฐบาลเห็นว่าหลักคำสอนของลัทธินี้มีความแตกต่างและขัดกับนโยบายทางการเมืองของรัฐบาล นับเป็นเวลาประมาณ 12 ปีที่ลัทธินี้มีความรุ่งเรืองมากในบริเวณเวียดนามตอนใต้ โดยในช่วงที่รุ่งเรืองสูงสุดมีผู้นับถือและมาปฏิบัติอยู่ที่นี่มากถึง 4,000 คน   ภายหลังมีการจับกุม  Coconut monk และให้เหตุผลว่า ท่านมีหลักคำสอนและความเป็นอยู่ที่แปลกประหลาด (คล้ายๆคนสติไม่ดี) และท่านอาศัยอยู่กับภรรยา 9 คนที่นี่ ซึ่งผิดกับหลักคำสอนทางศาสนา ปัจจุบันที่นี่ได้ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์โทรมๆ ที่มีภาพถ่ายและเรื่องราวสมัยนั้นให้ชมไม่มากนัก ฉันค่อยๆเดินชมภาพ อ่านคำบรรยายใต้ภาพพร้อมฟังคำบอกเล่าจากคุณลุงดอกไม้อย่างเงียบๆ

Mekong_075

          จนเมื่อคุณลุงเอ่ยออกมาเบาๆว่า ประวัติศาสตร์ของที่นี่ในแบบที่รัฐบาลถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังและชาวต่างชาติ แตกต่างและบิดเบือนไปจากความเป็นจริง เมื่อได้ยินดังนั้น ฉันเริ่มเบิกตาโตหันไปทางคุณลุงอย่างสนใจ คุณลุงกล่าวเสียงเรียบๆแล้วบอกว่า “ถ้าหนูอยากรู้ ลุงจะเล่าให้ฟัง ปกติจะไม่เล่าแบบนี้เพราะผิดจรรยาบรรณไกด์ของรัฐบาล แต่เห็นว่าหนูสนใจ ลุงก็สบายใจที่จะเล่าให้ฟัง” คุณลุงบอกว่า ชาวบ้านแถวนี้ที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณลุงต่างทราบกันดีว่า สถานที่ปฏิบัติธรรมแห่งนี้ถูกปิดไปเพราะเหตุผลทางการเมืองมากกว่าทางศาสนา และผู้หญิง 9 คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ ก็เป็นนักปฏิบัติหรือแม่ชีที่เลื่อมใสในความเชื่อของท่านนั่นเอง คนที่นี่เคารพและนับถือในความสามารถและความเฉลียวฉลาดของท่านอย่างมาก ท่านสามารถทำนายเรื่องของการเดินทางออกสู่จักรวาลของมนุษย์ การรวมแผ่นดินของเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ได้อย่างแม่นยำ หากมองเหตุการณ์ย้อนไปจากปัจจุบันนี้

Mekong_078

 

ภายนอกพิพิธภัณฑ์จะเป็นบริเวณที่ Coconut monk เคยใช้เป็นที่ปฏิบัติและเผยแพร่คำสอนของลัทธิตน มีเสาพญานาค 9 เสา ที่ใช้สีน้ำเงอนและสีทองเป็นหลัก ฉันจำไม่ได้จริงๆตอนที่คุณลุงดอกไม้เล่าถึงความสำคัญของเสาทั้งเก้านี้ เพราะตอนนั้นในหัวมีแต่เรื่องราวประวัติศาสตร์ที่ตรงข้ามกันระหว่างคำบอกเล่าของคุณลุงและจากการถ่ายทอดของรัฐบาล

กลับมาจากลุ่มแม่น้ำโขง ฉันใช้เวลาหลายวันในการค้นหาและอ่านประวัติศาสตร์ทางการเมืองแถบนั้น พบว่ามีเรื่องราวน้อยมาก และส่วนใหญ่ก็จะเป็นไปตามที่รัฐบาลเผลแพร่ ฉันตอบไม่ได้ว่า เรื่องราวจากใครถูกหรือผิด

ฉันรู้เพียงว่า “ประวัติศาสตร์มีสองด้านเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้เขียน”

และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันได้ยินเรื่องราวประวัติศาสตร์สองด้าน ตัวอย่างที่มีให้เห็นชัดๆ ได้แก่ ประวัติศาสตร์การรบระหว่างไทย-พม่า หรือประวัติการรุกรานประเทศระหว่างจีน-ทิเบต และการเดินทางสอนให้ฉันรู้ว่า

เหรียญมีสองด้านเสมอ อย่าตัดสินอะไรด้วยการมองเพียงด้านเดียว ประวัติศาสตร์ก็เช่นกัน

 

Mekong_077

Mekong_076

 

 

จมดิ่งอยู่คำถามมากมายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่ตั้งขึ้นมาในใจ รู้ตัวอีกทีเรือยนต์ของเราก็เข้าเทียบ ณ ท่าเรือของเกาะ Can Tan Long หรือ Dragon island เกาะที่มีคนอาศัยอยู่หนาแน่นมากที่สุดในบริเวณนี้ค่ะMekong_033

Mekong_034

จากท่าเรือ เราก็ถูกเดินนำให้เข้าไปยัง Coconut workshop สถานที่ทำผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว ต้นจากและผลผลิตทางการเกษตรบนเกาะเป็นหลัก ที่นี่เราจะได้เห็นวิธีการทำลูกอมมะพร้าวหรือมะพร้าวกวน (Coconut candy) ผลิตภัณฑ์ที่ทำรายได้สูงสุดของเกาะนี้เลย ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบ การกวนน การตัด และการห่อ ลองชิมดูแล้ว รสชาตก็ไม่แตกต่างจากบ้านเราเท่าไหร่ ราคาก็ไม่ค่อยถูก เราเลยชิมกันแค่หนึ่งเม็ดแล้วก็เดินชมบริเวณรอบๆแทน

Mekong_035

Mekong_037

Mekong_036

มีใครไม่รู้จัก “ลูกจาก”กันบ้างเอ่ย บ้านเราก็พบได้ในบริเวณริมคลองใกล้ๆทางออกทะเลเช่นกันค่ะ เอามาเชื่อมทานกับน้ำแข็ง อร่อยแท้

Mekong_066

Mekong_065

ในสวนแห่งนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของเวียดนาม “Sanke Wine” เหล้างูทรงพลังคึกคัก ด้วยความเชื่อที่ว่า สมัยก่อนกษัตริย์เวียดนามมีมหเสีหลายนาง และผลจากการโด๊บเหล้างูนี่เอง ทำให้มเหสีทั้ง 7 นางตั้งท้องในเวลาเดียวกัน และนั่นก็เป็นเหตุผลหลักที่เครื่องดื่มชนิดนี้เป็นที่นิยมสำหรับหนุ่มเวียด

Mekong_040

 

เมื่อเดินต่อไปยังท้ายสวนมะพร้าว เราก็จะเจอรถม้าจอดรออยู่หลายตัว (เอ๊ะ ต้องเรียกว่า หลายตัวหรือหลายคัน?) รถม้าเป็นยานพาหนะประจำท้องถิ่นที่ชาวบ้านใช้ในชีวิตประจำวันกันจริงๆ ภาษาเวียดนามเรียกว่า Xe Loi (Zhorse cart) เมื่อเรากำลังเล็งอยู่ว่าจะได้ใช้บริการรถม้าคัน/ตัวไหนกันนะ ก็ได้ยอนเสียงม้าตัวหนึ่งกำลังดิ้นและร้องฮี้ๆเสียงดัง หันไปมองตาเสียงก็เห็นเจ้าของม้ากำลังปราบพยศม้าตัวนั้นอยู่ คุณลุงดอกไม้บอกว่า อย่าตกใจไป ม้าไม่ได้พยศแต่มันตกใจควันไฟจากกองขยะข้างๆนั่นต่างหาก

Mekong_042

 

ม้าจะลากรถสองล้อที่มีที่นั่งสองแถวและหลังคาคล้ายๆรถตุ๊กตุ๊ก สามารถนั่งได้ 4 คน รวมทั้งคนควบม้า

Mekong_041

 

รถม้าคันที่เราจะใช้บริการเป็นรถม้าของคุณตาที่น่าจะมีอายุมากแล้ว ฉันสงสารคุณลุงและน้องม้าอยู่ในใจ เพราะเราสามคนมีน้ำหนักรวมกันก็ไม่น้อย แต่เมื่อคิดว่า…หากนี่เป็นการช่วยส่งเสริมรายได้ให้คุณลุงและชาวบ้านแถวนี้ ฉันก็ไม่อิดออดที่จะส่งยิ้มรับรอยยิ้มเล็กๆจากคุณตาขึ้นไปใช้บริการ นั่งเงียบๆอยู่บนรถ

เราสามารถสังเกตเพศของม้าที่นี่ได้ค่ะ ม้าตัวเมียจะมีดอกไม้ทัดหู แต่งเนื้อแต่งตัวสวยงาม

Mekong_043

 

คุณตาและน้องม้าคนสวย พาพวกเราออกไปตามทางดินเล็กๆจนออกไปถึงถนนลูกรัง (ถนนเส้นที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะแห่งนี้) ผ่านบ้านเรือนของชาวบ้านที่เรียงราย มีร้านค้าเล็กๆกระจายอยู่ห่างๆกัน มีรถม้าจำนวนไม่น้อยที่ขี่ตามหลัง นำหน้าและสวนทางกันไป ฉันนั่งโยกและมองบรรยากาศรอบๆเพลินไป …แอบคิดถึงพระประแดง

Mekong_044

 

จะเห็นว่าคนควบม้าที่นี่จะไม่ได้นั่งอยู่บนหลังม้า แต่จะนั่งอยู่ด้านขวาด้านหน้าใกล้ๆกบผู้โดยสาร น่ารักดีค่ะ

Mekong_045

 

วันนั้นเป็นวันเสาร์ แต่เราเห็นเด็กนักเรียนเพิ่งกลับจากโรงเรียน ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า โรงเรียนที่เวียดนามเปิดวันเสาร์ด้วยหรือ แต่คุณลุงดอกไม้ก็ชิงตอบมาว่า เด็กๆน่าจะไปทำกิจกรรมเพียงครึ่งวันที่โรงเรียน โรงเรียนในเวียดนามเปิดเฉพาะวันจันทร์ถึงวันศุกร์เช่นกัน อยากจะยกรางวัลไกด์ดีเด่นประจำเวียดนามซะจริงๆ

Mekong_046

 

คุณตาควบน้องม้าพาเรามาจนถึงทางเล็กๆที่แยกออกมาจากถนนเส้นหลัก คุณลุงบอกว่าเดี๋ยวเราจะเดินเลาะไปตามเส้นทางริมสวนมะพร้าวนี้เพื่อไปทานอาหารกลางวันกัน แล้วก็เกริ่นยิ้มๆว่า “ถ้าหนูประทับใจในการบริการของคุณตา ก็ให้ทิปคุณตาตามสะดวกเป็นสินน้ำใจก็ได้นะ” ฉันยิ้มรับและให้ทิปคุณตาพร้อมขอคุณตาถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ตอบไม่ได้ว่าประทับใจการบริการของคุณตาหรือเปล่า เพราะเราแทบจะไม่ได้พูดคุยกันเลย แต่การสื่อสารถึงกันผ่านสายตาและรอยยิ้ม ทำให้ฉันประทับใจและเห็นใจคุณตามากๆ

Mekong_047

 

บนเส้นทางเล็กๆในสวนมะพร้าว เราเริ่มเปิดบทสนทนากับคุณลุงดอกไม้อีกครั้ง คุณลุงเล่าว่าตอนนี้เป็นครูสอนภาษาอังกฤษและประวัติศาสตร์อยู่ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในตัวเมืองหมีเทอ รายได้จากการเป็นครูไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายของครอบครัว เพราะตอนนี้ลูกชายของคุณลุงกำลังจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในเมืองโฮจิมินห์ หลังจากบ้านโดนยึด คุณลุงและครอบครัวก็ไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง ต้องเช่าอพาร์ทเม้นต์เป็นที่อยู่อาศัย วันหยุดสุดสัปดาห์คุณลุงก็หาอาชีพเสริมรายได้ด้วยการมาเป็นไกด์บริการนักท่องเที่ยวแถวนี้ ซึ่งรายได้จากการเป็นไกด์ดีกว่ารายได้จากการรับราชการมากนัก ตรงนี้ฉันเข้าใจดี เพราะฉันก็เกิดมาในครอบครัวข้าราชการครูชนบท และที่ฉันเติบโตได้มีการศึกษาสูงๆก็เพราะรายได้เสริมของคุณพ่อคุณแม่จากการทำสวนยางนั่นเอง

Mekong_054

เมื่อเรื่องราวชีวิตของคุณลุงกำลังถูกถ่ายทอดอย่างเข้าได้เข้าเข็ม เราก็เดินมาถึงร้านอาหารขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันกับบ้านที่อยู่อาศัยของเจ้าของร้าน ครอบครัวนี้นับว่ามีรายได้สูงเมื่อเทียบกับครอบครัวอื่นๆแถวนี้ เพราะต้นตระกูลเป็นทหาร เมื่อเกษียณก็มาทำสวนและทำร้านอาหารถ่ายทอดมาจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน คุณลุงบอกว่าพามาร้านนี้เพราะคนไม่เยอะ อาหารอร่อย และบริการเป็นกันเอง

Mekong_048

 

เราเลือกที่นั่งด้านนอกตัวบ้าน เพราะไม่อยากไปรบกวนเวลาอาหารและดูทีวีของเจ้าของบ้านและแขกของเขา ฉันทำการบ้านมาล่วงหน้าถึงอาหารพื้นเมืองชื่อดังของที่นี่ นั่นก็คือ เมี่ยงปลาทอดและกุ้งแม่น้ำเผา เมี่ยงปลาที่นี่คล้ายๆกับเมี่ยงปลาบ้านเราค่ะ เพียงเปลี่ยนจากปลาเผาเป็นปลาทอด แต่ที่พิเศษคือ ปลาทอดจะถูกเสริ์ฟมาในแนวตั้งบนถาดไม้ (คล้ายๆที่คั่นหนังสือ) ไม่ได้วางนอนบนจาน…แบบนั้นมันธรรมดาไป พร้อมกับเครื่องเคียง คือผักพื้นบ้านและแผ่นแป้งปอเปี๊ยะ

Mekong_051

 

ส่วนกุ้งแม่น้ำที่นี่ก็ตัวขนาดกลางๆ เนื้อหวานอร่อยกำลังดีค่ะ

Mekong_052

 

เจ้าของร้านมาสาธิตวิธีการห่อเมี่ยงปลา โดยการใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลามาวางบนแผ่นแป้งที่แช่น้ำไว้แล้ว ทำให้เข้าใจตอนนี้เองว่า การวางปลาในแนวตั้งแบบนี้ทำให้การตักเนื้อปลาง่ายขึ้น แต่ก็ยากสำหรับพวกเราอยู่ดีถ้าต้องใช้ตะเกียบ จากนั้นก็วางผักตามใจชอบคู่กับเส้นหมี่เวียดนาม แล้วค่อยๆม้วนๆห่อ หน้าตาออกมาน่าทานมากค่ะ พอเราห่อกันเองก็เละเทะไม่สวยงามตามระเบียบ

Mekong_053

หลังการสาธิต เราก็ถูกนำเสนอให้ลองชิมอาหารพื้นเมืองอีกหนึ่งอย่าง เป็นแป้งข้าวเหนียวรสหวานๆที่ทอดออกมาเป็นทรงกลม ด้านในกลวง อร่อยดีค่ะ เห็นครั้งแรกแล้วนึกถึงลูกแก้วดูดวงของยิปซี

Mekong_050

 

อาหารที่เราสั่งมาจานใหญ่เกินกว่าที่จะทานหมดด้วยกำลังท้องเพียงสองคน เราชวนคุณลุงดอกไม้ทานด้วยกัน แกปฏิเสธพร้อมบอกว่า “ไกด์ท้องถิ่นไม่สามารถทานอาหารร่วมกับนักท่องเที่ยวได้ ผิดกฎหมาย” ไม่อยากจะเชื่อว่ามีกฎหมายด้วย เคยแตได้ยินว่าผิดจรรยาบรรณ เราตอบไปแบบไม่ทันคิดว่า “ไม่เป็นไรหรอกค่ะลุง พวกเรายินดี ที่นี่ไม่มีใครเห็นด้วย” แต่คุณลุงก็ยังยืนยัน ขอนั่งจิบเบียร์อยู่ข้างๆดีกว่า

อาหารมื้อนี้ควรจะมีรสชาตอร่อยกว่านี้ หากเราไม่ต้องฟังเรื่องราวอันรันทดของคุณลุงไปด้วย จำไม่ได้ว่าใครเริ่มก่อน จำได้แค่ คุณลุงปรึกษาพวกเราว่า ตอนนี้แกมีปัญหาให้คิดไม่ตก อีกเพียงปีกว่าๆ แกก็จะเกษียณอายุราชการ แล้วจะได้รับเงินบำเหน็จบำนาญ แล้วก็จะมีเวลาทำอาชีพไกด์ได้มากขึ้น ซึ่งน่าจะเพียงพอในการเลี้ยงครอบครัว แต่ไม่นานมานี้รัฐบาลเปลี่ยนนโยบายการจ่ายเงินบำนาญให้กับข้าราชการอวุโส ซึ่งคุณลุงจะได้เงินสนับสนุนน้อยลงเกือบครึ่งหนึ่ง แกเลยกลุ้มใจว่า ควรจะลาออกจากงานที่เงินน้อยแต่มั่นคง  หรือลาออกมาตั้งแต่ตอนนี้ แล้วมาทำอาชีพไกด์ได้อย่างเต็มเวลา รายได้มากกว่าแต่ไม่มั่นคงเท่า เราก็รู้จะให้คำปรึกษาแก่คุณลุงอย่างไร เพราะไม่ทราบรายละเอียดตื้นลึกหนาบางมากนัก อีกทั้งตัวเองก็ยังคิดไม่ตก ตัดสินใจไม่ได้จากการลาออกจากการเป็นมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้มั่นคง แต่ไม่ใช่อาชีพในฝันเช่นเดียวกัน เราเลยได้แต่ให้กำลังใจคุณลุงแล้วบอกว่า ไม่ว่าคุณลุงจะตัดสินใจเช่นไร เราขออวยชัยให้คุณลุงโชคดีและมีชีวิตทีดีขึ้น…ทำได้เท่านั้นจริงๆ

หลังทานอาหารกลางวันเคล้าดราม่า ฉันไปยืนเพ่งพินิจขวดโหลขนาดใหญ่ที่ดองสัตว์เลื้อยคลานหลายชนิด หรือที่เรียกว่า Snake wine ด้วยความสนใจและขนลุกขนพอง เจ้าของร้านก็เดินออกมาถามว่า สนใจลองชิมสักกรึ๊บมั๊ย รับรองเด็ด พลังกำลังฟิตปึ๋งปั๋ง ฉันได้แต่ยิ้มแหย๋ๆส่ายหน้า แล้วบอกลาเจ้าของร้านเพื่อเดินทางต่อ ขณะที่ในใจก็แอบสงสัยเหมือนกันว่า ผู้หญิงที่ฟิตปึ๋งปั๋งนี่จะรู้สึกอย่างไร

Mekong_049

 

เราเดินออกมาบนทางเล็กๆในสวนของชาวบ้านอีกครั้ง สัมผัสได้ถึงวิถีชีวิตที่สงบและเรียบง่ายของผู้คนที่นี่ ฉันหวังว่าการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยวจะไม่เปลี่ยนแปลงวิถีของที่นี่มากเกินไปในอนาคตอันใกล้

Mekong_055

 

 

เรากลับมาขึ้นเรือยนต์อีกครั้ง (จำไม่ได้แล้วว่าวันนั้นขึ้นลงเรือเล็กเรือใหญ่ไปกี่รอบ) เรือยนต์พาเราล่องไปตามคลองที่ราบล้อมด้วยป่าจากอีกครั้ง บรรยากาศคล้ายคลองที่เราไปล่องเรือพาย แต่มีขนาดใหญ่กว่า คดเคี้ยวกว่า ขนาดสองเลนหรือใหญ่พอที่เรือยนต์สามารถวิ่งสวนทางกันได้

Mekong_056

Mekong_060

Mekong_061

Mekong_062

Mekong_063

 

Mekong_058

ออกมาจากคลองต้นจาก เราก็ออกมายังท่าเรือของ Dragon island อีกครั้ง (ใกล้ๆกับ Coconut workshop) เพื่อรอเรืออีกลำมารับเรากลับขึ้นฝั่ง (เปลี่ยนเรืออีกแล้ว) ระหว่างนี้เราก็เดินดูรอบๆท่าเรือ มีร้านขายผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน พวกขนมกรอบๆและแหนมMekong_067

Mekong_068

 

ตลอดการเดินทางเกือบๆ 4 ชั่วโมง นอกจากคุณลุงดอกไม้ที่คอยเป็นไกด์นำทางและบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต และชีวิตส่วนตัวของคุณลุงแล้ว ก็ยังมีน้อง Qui หากออกเสียงเป็นภาษาไทยจะไม่สุภาพ เลยขอเรียกว่าต้องเต่า เพราะ Qui = Turtle ค่ะ น้องเต่าเป็นหนุ่มวัยรุ่นไซส์ใหญ่ที่คอยเดินตามพวกเราและคุณลุงในหลายๆช่วงของการเดินทาง คุณลุงบอกว่า น้องเต่าเป็นน้องชายของคนขับเรือลำแรก เสร์อาทิตย์น้องเต่าจะมาช่วยพี่ชายทำงานและชอบตามคุณลุงและนักท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆเพื่อเรียนภาษาอังกฤษ น้องเต่าเป็นคนขี้อาย พูดน้อย แต่ยิ้มง่าย เราพยายามคุยกับเขาก็น้องเต่าก็ไม่ค่อยตอบเพียงแค่ยิ้มตอบอายๆ คุณลุงเลยบอกว่าน้องเต่ายังพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง แต่การติดตามคุณลุงและนักท่องเที่ยวแบบนี้ก็ช่วยฝึกทักษะการฟังให้น้องได้ ฉันชื่นชมในความตั้งใจของน้อง เพราะเด็กวัยแตกเนื้อหนุ่มทั้งในเมืองไทยหรือในเวียดนาม ส่วนใหญ่จะใช้เวลาเสาร์อาทิตย์ไปกับการเที่ยวเตร่ เล่นเกม บิดมอเตอร์ไซต์มากกว่า

Mekong_057

 

เรารอเรือลำแรกมารับเพื่อกลับไปบนฝั่งเมืองหมีเทอเป็นการสิ้นสุดทริปนี้ เวลาล่วงเลยไปจนคุณลุงเห็นท่าไม่ดีว่าเราจะต้องเดินทางต่อไปยังเมืองเกิ่นเทอ จึงพาเราขึ้นเรืออีกลำที่มีนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มหนึ่งอยู่ในเรือ และขอโทษขอโพยว่า วันนี้นักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ เรือก็เลยทำงานหนัก บริการไม่ทัน เราไม่ได้มีปัญหาอะไร ขึ้นเรือลำนั้นไปอย่างว่าง่าย

Mekong_070

Mekong_069

 

บรรยากาศในแม่น้ำก่อนที่จะขึ้นฝั่ง

Mekong_073

Mekong_074

 

ก่อนบอกลาคุณลุงดอกไม้และน้องเต่า ฉันยื่นสมุดบันทึกไปให้คุณลุงเขียนอะไรถึงฉันสักเล็กน้อย ขอที่อยู่คุณลุงไว้เผื่อวันข้างหน้าผ่านมาทางนี้จะได้แวะเยี่ยมพบปะทักทายกัน เพราะความประทับใจส่วนตัว ฉันรับสมุดบันทึกกลับมา เปิดอ่าน แล้วยิ้มกว้างๆเป็นการบอกว่า Till we meet again จนกว่าจะพบกันใหม่

Mekong_072

 

 

ออกจากท่าเรือ ฉันขอให้คนขับรถพาเราไปยังวัดวึนแจง (Vinh Trang) ซึ่งเป็นวัดที่ใหญ่และโด่งดังที่สุดในจังหวัดเตียงยาง

Mekong_098

 

วัดวึนแจงเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดเตียงยาง สร้างขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1849 มีอายุมากกว่า 100 แล้ว โดยตั้งห่างออกมาจากตัวเมืองหมีเทอประมาณ 3 กม.ค่ะ สามารถเข้าชมได้ฟรีตั้งแต่เวลา 9-11:30 และ 13:30-17:00 สัญลักษณ์ของวัดนี้คือ พระยิ้ม หรือ Happy Buddha

Mekong_079

 

ก่อนที่จะเข้าไปชมภายในตัวอาคาร เราเดินอ้อมไปทางด้านหลังเพื่อสักการะพระนอนที่ตั้งอยู่ในสวนด้านหลังกันก่อน วัดนี้มีบริเวณกว้าง มีสวนและสระน้ำสำหรับให้ชาวเมืองมาพักผ่อนด้วยค่ะ

Mekong_081

Mekong_080

 

สถาปัตยกรรมของวัดจึนแกงเป็นแบบผสมผสานระหว่าง เวียดนาม จีน เขมร ญี่ปุ่น และโคโรเนียลแบบยุโรป โดยตัวอาคารปูนหลังใหญ่จะมีสถาปัตยกรรมและสีสันคล้ายชิโนโปตุกิส

Mekong_085

Mekong_084

 

แต่เมื่อเดินเข้าไปยังอาคารไม้หลังเก่าด้านใน ก็จะได้บรรยากาศแบบวัดจีนโบราณค่ะ

Mekong_086

 

Mekong_082

 

 

 

 

Mekong_083
Mekong_090

Mekong_091

Mekong_095

 

ด้านในอาคารไม้หลังเก่าค่อนข้างมืด มีเพียงแสงสว่างจากตะเกียงดอกบัว และมีพระพุทธรูปแบบจีนให้สักการะหลายองค์เลย บรรยากาศขลังดีค่ะ

Mekong_087

Mekong_088

Mekong_089

Mekong_092

 

ก่อนออกจากตัวอาคาร เราก็ได้สักการะคุณลุงโฮ อดีตท่านผู้นำที่มีความสำคัญสูงสุดของชาวเวียดนาม หาก “รูปที่มีทุกบ้าน” ของประเทศไทยจะเป็นรูปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เวียดนามก็จะมีรูปคุณลุงโฮอยู่ทุกบ้านและทุกวัดเลย

Mekong_093

Mekong_094

 

ด้านนอกยังมีร้านขายของที่ระลึกที่เกี่ยวกับความเชื่อและศาสนาด้วยค่ะ

Mekong_097

Mekong_096

 

เราบอกลาเมืองหมีเทอ เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองเกิ่นเทอที่พักของเราในค่ำคืนนี้

สำหรับเพื่อนๆที่สนใจเดินทางมาเที่ยวเมืองหมีเทอ นอกจากการเช่ารถมาจากโฮจิมินห์แล้วมาซื้อทัวร์เที่ยวบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงแล้ว ยังสามารถเดินทางมาที่นี่โดยรถประจำทางจากโฮจิมินห์ที่ Mien Tay Bus Station มาลงที่ Tien Giang Bus Station ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองหมีเทอประมาณ 3 กม.ค่ะ จากนั้นสามารถนั่งแท๊กซี่เข้ามาในตัวเมืองได้ แต่รถบัสที่นี่ค่อนข้างจะหวานเย็นจึงใช้เวลาในการเดินทางนานหลายชั่วโมง อาจจะต้องหาที่พักในตัวเมืองหมีเทอนะคะ อีกช่องทางหนึ่งคือ การซื้อแพคเกจทัวร์แบบ One day trip มาจากเมืองโฮจิมินห์ หรือแบบ สองวัน สามวันก็มีค่ะ แต่วิธีนี้ไม่ค่อยเป็นแนวของฉันเท่าไหร่ ขอมาเที่ยวเองแบบกึ่งสำเร็จรูปอย่างนี้ดีกว่า

คนขับรถพาเรามุ่งหน้าไปยังเมืองเกิ่นเทอ ขณะนั้นเป็นเวลาเลิกงานรถมอเตอร์ไซต์เลยวิ่งกันเต็มถนน คนขับกดแตรตลอดเวลาจนเราปวดหูปวดหัวไปหมด โดยเฉพาะเมื่อมาถึงสามแยกใหญ่ระหว่างทาง รถของเราเหมือนหลุดเข้าไปในดงแมงกะไซต์ ถูกขนาบหน้าหลังซ้ายขวา มีรถวิ่งมาจากทุกทิศทาง กว่าจะหลุดออกมาจากตรงนั้นทำเอาเราตาลายเลยค่ะ อยากจะเรียนร้องเรียนไปยังทางการเวียดนามให้ติดสัญญาณไฟจราจรที่สามแยกนี้อย่างเร่งด่วน

Mekong_099

Mekong_100

 

 

เราเดินทางมาถึงเมืองเกิ่นเทอตอนประมาณ 5 โมงเย็น ใช้เวลาเดินทางจากเมืองหมีเทอประมาณ 2 ชั่วโมงค่ะ แต่กว่าที่เราจะตามหาที่พักเจอก็ต้องขับวนและทะเลาะกับคนขับอยู่พักใหญ่ ยอมรับว่ากระท่อมน้อยนามว่า Nguyen shack – mekong river homestay เข้าไปลึกลับซับซ้อนมาก เรียกว่า in the middle of nowhere เลยก็ได้ คนขับบ่นตลอดทางว่าทำไมเราไม่ไปพักโรงแรมในเมือง ฉันอธิบายให้เขาฟังในใจว่า ฉันหลงรักกระท่อมน้อยริมน้ำหลังนี้ตั้งแต่แรกเห็นในอินเตอร์เนต และฉันต้องการมาพักผ่อนในที่เงียบๆ คนขับส่งเราเข้าที่พัก ก่อนที่เขาจะไปพักในตัวเมืองและนัดแนะเวลามารับเราในตอนสายของวันถัดไป

นี่คือบรรยากาศของกระท่อมโฮมเสตย์ของเราค่ำคืนนี้ บรรยากาศน่าพักมาเลยใช่ไหมล่ะ ผู้อ่านคงหายแปลกใจว่าทำไมฉันถึงลืมโรงแรมในตัวเมืองไปได้ เราเช็คอิน เอากระเป๋าเข้าไปเก็บในห้อง แล้วออกมาทานอาหารเย็นที่ล๊อบบี้ เสียดายที่เรามาถึงช้ากว่าที่ตั้งใจไว้ ค่ำแล้วเลยไม่มีเวลาเดินชมบริเวณรอบๆ รอไว้พรุ่งนี้ก็แล้วกัน แล้วตอนหน้าฉันจะพาไปชมบรยากาศของที่นี่พร้อมๆกับตลาดน้ำของเมืองเกิ่นเทอนะคะ

Mekong_101

Mekong_102

nguyen-shack

 

ที่นี่เป็นโฮมเสตย์ขนาดเล็กที่บรรยากาศอบอุ่นมากค่ะ มี Thunya สาวผมทองเป็นผู้ดูแล สาวเวียดนามหนึ่งคนที่เป็นทั้งแม่บ้านและแม่ครัว หนุ่มเวียดนามอีกหนึ่งคนที่คอยบริการแขกที่มาพักและขับเรือพาเที่ยว ส่วนแขกที่มาพักที่นี่ก็มีแต่ชาวยุโรปอีกประมาณ 8 คน ที่พวกเขาส่วนใหญ่จะเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศแถบนี้กันนานเป็นเดือน และพักที่นี่หลายวัน มีเพียงเราสองคนที่เป็นหญิงสาวผมดำจากเมืองไทย ที่จริงฉันก็อยากพักที่นี่มากกว่าหนึ่งคืน ยิ่งเจอบรรยากาศแบบนี้ก็อยากอยู่นานๆเลย ได้แต่คิดในใจว่า จะกลับมาที่นี่อีกครั้งถ้ามีโอกาสแน่นอน เรียกได้ว่าที่นี่เป็นรักแรกพบของฉันในเวียดนามใต้เลยล่ะ

เราสั่งอาหารพื้นบ้านจานเดียวมาคนละจาน และสั่งยำมะม่วงมาทานด้วยกันหนึ่งจาน ยำมะม่วงที่นี่จะใช้มะม่วงสุกค่ะ รสชาตเลยหวานๆเปรี้ยวๆแปลกลิ้นแต่ก็อร่อยดี

Mekong_104

 

หลังจากท้องอิ่ม เราก็นั่งร่วมวงสนทนาพาเพลินไปกับแขกของโฮมเสตย์ ทักทายทำความรู้จักบอกที่มาที่ไปของแต่ละคนแล้ว ก็สั่งเบียร์ไซง่อนมาดื่มกันเพิ่มบรรยากาศความสนุกสนานให้กับวงคุย

Mekong_103

คุณลุงฝรั่งคนหนึ่งเล่าถึงความประทับใจในการไปชมตลาดเช้าที่ตัวเมืองเกิ่นเทอ (ซึ่งเราก็จะไปในตอนเช้าวันพรุ่งนี้อยู่แล้ว) คนลุงลองซื้องูมาจากตลาดและให้แม่บ้านทำอาหารจานเด็ดให้ลองชิม นั่นก็คือ ไข่เจียวงู ค่ะ เนื้องูถูกสับจนละเอียดและทำไปเจียวกับไข่ไก่พร้อมเครื่องปรุงและเครื่องเทศแบบพื้นบ้าน หลังจากทอดในน้ำมันจนได้กลิ่นหอมยั่วยวนก็เอามาเสริ์ฟลงกลางโต๊ะสนทนา เราสองคนถูกคะยั้ยคะยอให้ลองชิมไข่เจียวงู ลองตักมาชิมคำเล็กๆตามมารยาท ยังมีเนื้อสัมผัสของกระดูกที่ถูกสับอย่างละเอียดและรสชาตเฝื่อนๆ มีคนเคยกล่าวไว้ว่า เราจะเข้าใจวัฒนธรรมของสถานที่นั้นมากขึ้น ถ้าเราได้ลิ้มลองอาหารพื้นเมืองจากชาวบ้านจริงๆ

Mekong_105

 

คืนนั้นเราเข้านอนกันตั้งแต่หัวค่ำ เพราะเดินทางเหนื่อยกันมาทั้งวันและพรุ่งนี้ต้องตื่นไปเที่ยวตลาดกันตั้งแต่เช้าตรู่ เราปิดประตูตรงระเบียงของกระท่อมไม้ไผ่เพื่อป้องกันยุง แต่ก็ไม่สามารถกั้นเสียงดนตรีของงานรื่นเริงในหมู่บ้านได้ บังคับตัวเองในนอนบนเตียงภายใต้มุ้ง คิดถึงคำบอกเล่าถึงความประทับใจในการเที่ยวตลาด ปั่นจักรยนชมสวน และเรื่องราวการเดินทางมากมายของเพื่อนใหม่ที่เพิ่งพบกันวันนี้ นอนหลับฝันดีและฝันว่าฉันจะได้กลับมาที่กระท่อมแห่งนี้อีกครั้ง

 

….ติดตามการเดินทางล่องเรือไปเที่ยวตลาดบกและตลาดน้ำในเมืองเกิ่นเทอ ได้ในตอนต่อไปนะคะ

 

ฝากติดตามเรื่องเล่าจากกระเป๋าเดินทางได้จาก

Facebook: Talesfromthebackpack

Instagram: Talesfromthebackpack

 

 

 

 

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s