ดอยหลวงตาก ชื่อนี้อาจจะยังไม่ค่อยคุ้นหูนัก
แต่สำหรับนักเดินทางที่หลงใหลความงามของธรรมชาติและขุนเขา
อาจจะเริ่มจดชื่อนี้ลงในลิสต์ “หนึ่งในขุนเขาที่ต้องไปพิชิตประเทศไทย” บ้างแล้ว
ฉันเป็นคนหนึ่งที่หลงและรัก(ขุน)เขา อย่างหัวปักหัวปำ
เมืองก็ชอบเที่ยว ทะเลก็ชอบไป แต่สำหรับ(ขุน)เขา…ฉันไม่เคยปฏิเสธได้เลย
ฉันและเพื่อนๆชอบแบกเป้เดินป่าตั้งแคมป์บนภูเขากันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เรามักจะมีทริปเดินป่าประจำปีกัน อย่างน้อยปีละครั้ง หลังจากที่ฉันต้องระหกระเหินไปเรียนและทำงานที่ต่างประเทศ ทำให้ฉันพลาดทริปเดินป่าเด็ดๆไปหลายทริป ไม่ว่าจะเป็น ดอยหลวงเชียงดาว ภูสอยดาว ม่อนจอง โมโกจู เปรโต๊ะลอซู ที่เราเคยมุ่งมั่นว่าจะไปด้วยกัน ฉันไม่อาจเห็นแก่ตัว ขอร้องให้เพื่อนๆรอฉันกลับมาเที่ยวกับพวกเขา ในขณะที่ตัวเองก็ตะลอนปีนเขาในต่างประเทศ แต่ถึงอย่างไร สำหรับฉัน ขุนเขาเมืองไทยก็มีเสน่ห์นาหลงใหลมากที่สุด
เมื่อฉันย้ายมาทำงานที่สิงคโปร์ ซึ่งไม่ไกลจากประเทศไทยนัก จึงตั้งใจไว้ว่า ฉันจะบินกลับมาเดินป่าเมืองไทยอย่างน้อยปีละครั้ง ฉันตัดสินใจจองตั๋วเครื่องบินจากสิงคโปร์มากรุงเทพฯ เพื่อร่วมเดินทางไปพิชิตยอดดอยหลวงตาก ด้วยเหตุผลหลักๆสองประการ
หนึ่ง เพื่อบรรลุเป้าหมาย เดินป่าเมืองไทยอย่างน้อยปีละครั้ง
สอง เห็นรายชื่อผู้ร่วมทริป แล้วคิดว่าทริปนี้น่าจะเป็นการกลับมารวมตัวกันของแกงค์เดินป่าหลายคนของฉัน
เย็นวันศุกร์ ฉันรีบออกจากที่ทำงานพร้อมกระเป๋าเป้สองใบ นั่งแท๊กซี่ไปยังสนามบินชางงีของสิงคโปร์ เครื่องบินทะยานย้อนเวลามาลงที่สนามบินดอนเมืองในเวลาเกือบห้าทุ่ม ฉันแบกเป้เดินข้ามสะพานไปฝั่งสถานีรถไฟดอนเมือง มองหารถตู้คันคุ้นเคยตามเวลาที่นัดแนะกับเพื่อนๆไว้
ทริปนี้ฉันมีเพื่อนร่วมเดินทาง 10 คน ขออนุญาตแนะนำตัวกันสักหน่อยเพราะพวกเขามีส่วนทำให้ฉันเดินทางครั้งนี้
เอ/นายเตร็ดเตร่ เพื่อนรักนักเดินทาง ผู้ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ฉันในเรื่องการเดินทาง การถ่ายภาพ และเราเดินทางด้วยกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เขาเดินทางท่องเที่ยวทุกรูปแบบ แบก เป้ โบกรถ นั่งรถไฟ เดินป่า ชมเมือง ดำน้ำ ปีนภูเขาไฟ ทั้งในและต่างประเทศ ตอนนี้เอทำทัวร์ท่องเที่ยวเป็นของตัวเอง ฉันก็ใช้บริการทัวร์ของเอบ่อยๆ รวมถึงทริปนี้ด้วย
กบ เพื่อนรักนักกิจกรรมตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยเช่นกัน เกินกว่าครึ่งหนึ่งในชีวิตการเดินทางของฉัน จะมีเธอผู้นี้เดินอยู่ข้างๆ ฉันรู้สึกสบายใจเวลาไปไหนกับเธอ เพราะเธอมีกระเป๋าโดราเอมอน มีทุกอย่างที่จำเป็นและไม่ค่อยจำเป็น
จิ๋ม เพื่อนรักตั้งแต่สมัยมัธยมเปรี้ยวอมหวาน เราไม่ค่อยมีโอกาสเดินทางด้ยกันบ่อยนัก ฉันจึงดีใจมากที่รู้ว่าเธอจะมาผจญภัยด้วยกัน ทริปนี้ฉันคงกินอิ่มนอนหลับ เพราะเธอเป็นแม่ศรีเรือน เรื่องหุงหาอาหารคงสบาย
พี่นัทคุง เป็นลูกทริปอันดับหนึ่งของเอ เราเลยมีโอกาสเจอกันบ่อยๆ แต่เรามักเจอกันในป่ามากกว่าในเมืองเสียอีก
น้องโบว์ รุ่นน้องสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เห็นเธอตัวบางๆแบบนี้ แต่เธอพิชิตขุนเขาเมืองไทยมาไม่แล้วไม่น้อย เจอกันทริปนี้ฉันจะไม่เหงา เพราะมีเธอชวนคุยโน่นคุยนี่ตลอดทาง
พี่น๊อตตี้ ลูกทริปของเอที่เราจะเจอกันเฉพาะทริปเดินป่า ฉันยกให้เขาเป็นนักเดินป่าปีนเขามืออาชีพที่สุดที่ฉันเคยรู้จัก เพราะเขาเดินป่าคล่องแคล่วว่องไวอย่างกับเดินบนถนนลาดยาง
พี่ซัน ลูกทริปของเอที่เราจะเจอกันครั้งแรก แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นนักเดินทางและนักถ่ายภาพมืออาชีพอีกคน
พี่อ้อ เพื่อนของพี่น๊อตตี้ เราเจอกันครั้งแรกเช่นกัน ถ้ายกให้พี่น๊อตตี้เป็นยอดนักเดินป่าฝ่ายชาย ฉันก็จะยกตำแหน่งให้พี่อ้อเป็นยอดนักเดินป่าฝ่ายหญิง
พี่ตอง ลูกทริปของเอ เจอกันครั้งแรกเราก็พากันหลงป่าเสียแล้ว
พี่อาร์ต คนขับรถตู้ที่เอใช้บริการเป็นประจำ เพราะใจดี ขับรถดี คุยสนุก พี่อาร์ตไม่ได้เดินป่าแต่นอนรออยู่ในรถ
ดอยหลวงตาก ทอดตัวอยู่ในสันขอบอุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช และเป็นส่วนหนึ่งของวนอุทยานแห่งชาติน้ำตกห้วยแม่ไข ยอดสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,175 เมตร เพิ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวเพิ่งเข้าชมเมื่อประมาณ 3-4ปีนี้เอง เส้นทางเดินเริ่มต้นจากเทศบาลตำบลทุ่งกระเซาะ อ.บ้านตาก จ.ตาก ระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร ที่มีทั้งทางราบ ทางชั้น และดงทาก ใช้เวลาเดินประมาณ 5-6 ชั่วโมง เพื่อไปถึงจุดกางเต๊นท์เชิงเขา ที่นั่นไม่มีแหล่งน้ำ จึงต้องเตรียมน้ำดื่มขึ้นไปด้วย
เราเดินทางออกจากกรุงเทพเกือบเที่ยงคืนของวันศุกร์ มาถึงต.ทุ่งกระเซาะ อ.บ้านตาก จ.ตาก ในเวลาเช้าตรู่วันเสาร์ ก่อนจะถึงเวลานัดหมายกับพี่เจ้าหน้าที่วนอุทยานแห่งชาติที่สำนักงานเทศบาลตำบลทุ่งกระเซาะ เราแวะหาอาหารเช้ารองท้องกันที่ตลาด โจ๊กร้อนๆ ปาท่องโก๋ และกาแฟร้อนๆในตลาดเช้าเป็นบรรยากาศที่ฉันรอคอย
เมื่อมาถึงสำนักงานเทศบาลตำบลทุ่งกระเซาะ เราจัดการเตรียมอุปกรณ์และข้าวของที่จะไปแคมปิ้งกันบนเขาคืนนี้ โดยแยกอุปกรณ์ อาหาร เต๊นท์ กระเป๋าเสื้อผ้า สำหรับใช้บริการลูกหาบที่ติดต่อไว้ล่วงหน้าผ่านทางเจ้าหน้าที่
เทคนิคการเตรียมไข่ไก่ไปทำอาหาร ตอกไข่ใส่ขวดน้ำดื่ม ป้องกันไข่แตกระหว่างทาง
เวลาประมาณ 9 โมง เมื่ออุปกรณ์พร้อม กายพร้อม ใจพร้อม เราก็เริ่มออกเดินทางโดยขึ้นท้ายรถบรรทุกคันเล็ก “รถใช้ในการเกษตร” ไปยังจุดเริ่มเดินป่าพร้อมๆกับพี่เจ้าหน้าที่และลูกหาบอีก 4 คน
ช่วงแรกในการเดินจะเป็นป่าไผ่ลัดเลาะไปตามแนวลำธาร ลูกหาบเดินนำหน้าไปก่อน เราเดินเรียงกันตามหลังพี่ล้วน เจ้าหน้าที่วนอุทยานฯที่คอยให้ความสะดวกและเป็นผู้นำทางในทริปนี้ค่ะ
เราเจอชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเดินสวนทางลงมาจากเขา หน้าตาพวกเขาดูมีความสุขเพราะเก็บเห็ดโคนกลับมาได้หลายกระบุง พี่ล้วนบอกว่า ป่าผืนนี้เป็นแหล่งอาหารสำคัญของชาวบ้านแถบนี้ หลังเดินห่างจากชาวบ้านมาได้สักระยะ เราก็แอบรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ขอซื้อเห็ดโคนจากชาวบ้าน สำหรับทำอาหารบนยอดเขา เห็ดโคนที่นี่ดอกใหญ่น่าทานมาก
เมื่อได้ยินว่าที่เป็นเป็นป่าอุดมสมบูรณ์และชุกชมไปด้วยทาก และเราต้องเดินผ่านดงกล้วยป่าชื้นในบางจุด ฉันมีประสบการณ์ฝังใจกับทากในป่ามาหลายครั้ง คราวนี้เลยจัดเตรียมถุงกันทากมาเป็นอย่างดี ฝากเพื่อนๆซื้อมาให้จากกรุงเทพฯ จึงได้เห็นว่าเดี๋ยวนี้แฟชั่นบ้านเราพัฒนาไปไกลแค่ไหนแล้ว แม้แต่ถุงกันทากยังมีแต่สีสดสะท้อนแสง ฉันจึงจำใจเลือกสีเขียวสดมาใส่ ไม่รู้ว่าสีสันแบบนี้จะยิ่งดึงดูดทากมาเกาะขาหรือเปล่า
เดินผ่านทางราบมาสักระยะ ก็เริ่มเข้าสู่ทางที่ชันขึ้นค่อยๆไต่เชิงเขาไปเรื่อยๆ เส้นทางค่อนข้างเดินง่าย เพระเป็นเส้นทางที่ชาวบ้านใช้เดินเป็นประจำ ชาวบ้านแถวนี้จะเลี้ยงวัวโดยปล่อยให้มันขึ้นไปกินหญ้าเองบนภูเขา ระหว่างทางเดินจึงเต็มไปด้วยขี้วัวที่มีทั้งแบบสดและแบบแห้ง เดินไปก็ต้องคอยระวังกับระเบิดไปด้วย ฉันแอบสงสัยว่า ฝูงวัวสามารถกลับบ้านเองได้อย่างไร แต่ก็ได้รับการยืนยันจากพี่ล้วนว่า วัวจะจำฝูงและทางกลับบ้านได้ ถ้าหากมีการพลัดหลง เจ้าของก็สามารถตามหาได้เพราะมีการทำสัญลักษณ์ไว้โดยใช้เหล็กลนไฟ
สิ่งสำคัญมากๆคือ นำ้เปล่าค่ะ เราควรจิบน้ำไปเรื่อยๆเพื่อชดเชยน้ำที่ร่างกายสูญเสียไป แต่การเดินทางครั้งนี้ฉันเผลอประมาทเพราะคิดว่าเส้นทางไม่ไกล เลยเตรียมน้ำใส่กระเป๋าน้ำมาแค่หนึ่งลิตร แถมทำน้ำหกตอนเทลงกระเป๋าไปเกือบครึ่ง ถึงแม้ช่วงเวลานั้นจะเป็นปลายฝนต้นหนาว แต่อากาศตอนนั้นร้อนอบอ้าวมาก น้ำที่เตรียมมาเลยไม่พอ ต้องขอจิบจากเพื่อนคนอื่น หรือไม่ก็เติมพลังด้วยน้ำตาลจากลูกอมรสหวานอมเปรี้ยว (ผลไม้อบแห้ง ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ควรพกพพาระหว่างเดินป่านะคะ ให้พลังงานเติมความสดชื่นได้ดีทีเดียว)
แวะทักทายหนอนแมลงระหว่างทาง เป็นการแอบพักเหนื่อยแบบเนียนๆ
เมื่อเริ่มไต่ความสูงขึ้นมาในระดับหนึ่ง ก็จะเริ่มเห็นวิวผืนป่าเขียวๆเบื้องล่างและแม่น้ำปิงสายน้ำที่เป็นเส้นเลือดสำคัญหล่อเลี้ยงผืนป่าภาคเหนือ
เราหยุดพักทานอาหารเที่ยงกันเมื่อเวลาประมาณเที่ยงครึ่ง โดยสั่งข้าวผัดใส่ถุงมาจากร้านอาหารตามสั่งใกล้ๆกับสำนักงานเทศบาล ปกติฉันไม่ชอบทานข้าวผัด (ชอบทานข้าวสวยกับกับข้าวมากกว่า) แต่การเดินป่า ทำให้ฉันลืมไปสนิทใจเลยว่า ชอบะไรไม่ชอบอะไร บ่อยครั้งที่เราต้องเอาตัวเองไปอยู่ในที่ๆมีตัวเลือกในชีวิตน้อยๆ เพื่อทำความเข้าใจกับคำว่า “ความพอดี” และ “สิ่งจำเป็น”ในชีวิต ข้าวผัดถุงนี้จึงอร่อยกว่าข้าวผัดจานไหนๆในร้านอาหารที่ฉันไม่ชอบทาน
ทานข้าวเสร็จ ก็นั่งพักผ่อนตามอัธยาศัยกันอีกสักพัก
ปัญหาที่ตามมาเมื่ออากาศร้อนคือต้องจิบน้ำเยอะ เมื่อทานน้ำเยอะก็ต้องการปลดปล่อย วินาทีนี้เราจะเรียนรู้การทำตัวกลมกลืนกับธรรมชาติ มองหาห้องน้ำที่มิดชิดแต่วิวสวย
จากห้องน้ำธรรมชาติ เราสามารถมองเห็นยอดเขา จุดหมายปลายทางที่ดูเหมือนจะอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ยังต้องใช้เวลาอีกหลายชั่วโมงเลยทีเดียวกว่าจะไปถึง
เมื่อร่างกายเริ่มมีพลัง เราก็ออกเดินกันต่อโดยไต่ขึ้นเขาไปเรื่อยๆตามทางเล็กๆที่เริ่มมีกรวดมีหินให้ระวัง มิฉะนั้นอาจลื่นล้มหรือสะดุดลงได้ เดินไปก็ชมวิวแม่น้ำปิงที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลไปด้วย
เมื่อจุดหมายปลายทางของเราอยู่ที่เขาอีกลูกหนึ่ง เมื่อเดินขึ้นเขาลูกแรกแล้ว ก็เจอทางลงเขาบ้าง ค่อยๆไต่ลงไปตามทางเล็กๆบนสันเขา
สำหรับฉัน เส้นทางเดินป่าที่นี่ถือว่าไม่ลำบากมากนักเมื่อเทียบกับขุนเขาอื่นๆในเมืองไทยที่เคยพิชิตมา เส้นทางก็ชัดเจนเพราะเป็นเส้นทางที่ชาวบ้านและฝูงวัวใช้เป็นประจำ มีเครื่องหมายที่เจ้าหน้าที่ทำไว้บนต้นไม้เป็นระยะ แต่ถึงอย่างไรพี่เจ้าหน้าที่ก็เตือนว่า เราควรจะเดินเกาะกลุ่มกันไว้ เพราะมีทางแยกเยอะและทุกเส้นทางชัดเจน อาจจะทำให้หลงทางได้ ตอนนั้นฉันก็รับฟังไว้โดยที่ไม่คิดว่าตัวเองจะได้มีประสบการณ์หลงทางในป่าแห่งนี้จริงๆ ไว้จะเล่าให้ฟังค่ะว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา
ดอกหญ้า…หากไปขึ้นอยู่ในแปลงดอกไม้ ดูไร้คุณค่า แต่เมื่อไหร่ที่ดอกหญ้า…เติบโตอยู่ในพงหญ้ากลางป่าใหญ่ ดอกหญ้าก็จะสวยงามและมีคุณค่าในตัวเอง มนุษย์ก็เช่นกัน บางทีเราก็ต้องเลือกอยู่ให้ถูกที่ถูกทาง
ขุนเขาลูกที่สอง เราเริ่มได้สัมผัสกับป่าสน เดินไปมองวิวด้านล่างทะลุต้นสนไปก็สวยงามไม่น้อยเลย
ด้านบนนั่นคือยอดเขาใกล้จุดที่เราจะตั้งแคมป์กันคืนนี้ การจะเดินขึ้นไปต้องฝ่าดงจาก (ต้นอะไรไม่แน่ใจค่ะ แต่ลักษณะคล้ายๆดงจาก) การใส่เสื้อแขนยาวหรือปลอกแขนก็จะช่วยป้องกันการขีดข่วนจากดงจากนี้ได้ค่ะ
เมื่อเราฝ่าดงจากไต่ขึ้นมาถึงยอดเขาได้ เราก็พบว่าพี่น๊อตตี้กำลังถ่ายภาพวิวรอพวกเราเพลินๆอยู่ก่อนแล้ว ท่าทางพี่เขาจะพักจนหายเหนื่อยแล้วกว่าพวกเราที่เหลือจะมาถึง จนฉันแอบแซวไม่ได้ว่า “นี่วิ่งขึ้นมาหรืออย่างไร”
วิวทะเลภูเขาสีเขียวและอากาศที่ปลอดโปร่งโล่งปอดบนนี้ทำให้ฉันหายเหนื่อยเลยทันที ฉันตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงหลงรัก(ขุน)เขานักหนา รู้เพียงว่า รู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้มาอยู่ในที่โล่งๆ มองวิวจากมุมสูง ทอดสายตาไปยังพื้นที่เขียวๆสบายตาเบื้องล่างที่ตัดกับท้องฟ้าและกลุ่มก้อนเมฆเบื้องบน มันอาจจะเป็นความรู้สึกถึง “อิสรภาพ” ความรู้สึก “เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ” หรือเป็นเพราะฉันชอบเล่นของสูงก็เป็นได้
เราถ่ายรูป ชมวิวและพักเหนื่อยกันตรงนี้พักใหญ่ๆเลยทีเดียว ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังจุดที่เราจะค้างแรมกันคืนนี้ ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ฉันสังเกตเห็นดอกดาวกระจายสีหวานขึ้นกระจัดกระจายแซมอยูกับทุ่งหญ้าบนยอดเขา ตอนแรกก็แอบสงสัยในใจว่า ดอกดาวกระจายนี่สามารถขึ้นเองโดยธรรมชาติได้ด้วย หรือจริงๆแล้วมันเป็นดอกไม้ป่าที่คนเอาไปปลูกตามบ้านเรือน แต่ไม่นานฉันก็ได้คำตอบ เมื่อหันไปเห็นลุงธรรมหนึ่งในลูกหาบที่ดูเป็นกันเองและใจดีที่สุด กำลังเดินโปรยเมล็ดพันธุ์ไปด้วยระหว่างที่เดินไปยังจุดตั้งแคมป์
ฉันจึงเดินไปถามลุงธรรมว่า “ลุงโปรยดอกไม้พวกนี้หรือคะ” ลุงยิ้ม พยักหน้า ก่อนตอบว่า “เวลาเดินป่าจะได้มีของสวยๆไว้ดู” ฉันชอบความสุนทรีย์ของคุณลุงจริงๆ
และแล้วเราก็มาถึงด่านสุดท้ายที่ตื่นเต้นที่สุด เพราะป่ากล้วยตรงนี้เต็มไปด้วยทากดูดเลือด ถึงแม้จะเตรียมอุปกรณ์ถุงกันทากมาแล้ว แต่ฉันก็รีบจ้ำอ้าวให้ผ่านจุดนี้ไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พ้นจากป่ากล้วยนี่ไป เราก็จะถึงลานกางเต๊นท์ที่เราจะพักแรมกันตรงเชิงเขาคืนนี้แล้วค่ะ
เมื่อหลุดออกจากจากดงป่ากล้วย เราก็เจอลานพักแรมของพวกเรา มีร่องรอยของการตั้งแคมป์ของนักเดินทางก่อนหน้าพวกเราเหลืออยู่บ้าง พี่เจ้าหน้าที่และลูกหาบเริ่มวางข้าวของและจับจองพื้นที่ของพวกเขา พร้อมไปด้วยปลีกล้วยที่ตัดมาระหว่างทาง พร้อมปรุงเป็นอาหารมื้อโอชะเย็นนี้
ส่วนภารกิจแรกของฉันหลังจากวางกระเป๋าเป้ใบเล็กบนหลังลงแล้ว ก็คือการสำรวจร่างกายตรวจสอบหาทากตัวเล็กตัวน้อย ค่อยๆหยิบสิ่งมีชีวิตเนื้อเย็นตัวหยุ่นๆออกจากส่วนต่างๆของร่างกายแล้วใส่พวกมันลงไปในขวดแก้ว ถึงแม้ว่าคราวนี้ฉันจะรอดพ้นจากการเสียเลือดให้กับเจ้าทาก แต่จากปริมาณทากน้อยที่เก็บได้ก็ทำเอาขนลุกขนพองได้ในระดับหนึ่ง
ฉันมีประสบการณ์หวดผวาทากดูดเลือดที่จำฝังใจอยู่ 2 ครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นที่ดอยขุนสถาน จ.น่าน ที่นั่นทากเยอะกว่าที่ดอยหลวงตากสิบเท่าตัว เราจะได้ยินเสียงเพื่อนร่วมทางตะโกน “โอ๊ย โดนทากดูด โอ๊ย โดนทากจูบ” อย่างนี้ไปตลอดทาง ฉันมัวแต่ระวังทากน้อยบนดิน จนหลงลืมไปว่าที่นั่นมีทากใบไม้ที่อาศัยอยู่ตามกิ่งไม้ใบไม้ด้วย เมื่อเดินผ่านดงต้นไม้ จู่ๆก็รู้สึกคันยุบยิบใกล้ๆตา ฉันจึงเอามือไปจับแล้วดึงออกมา ปรากฎว่ามีทากใบไม้สีเขียวติดมือมาพร้อมกับคอนแทคเลนส์ที่ฉันใส่อยู่ นั่นหมายความว่า เจ้าทากตัวนั้นกำลังเข้าไปดูดเลือดเลือดในลูกตาของฉัน โชคดีนะที่ฉันใส่คอนแทคเลนส์ เป็นเหตุการณ์ที่ทำฉันใจเต้นตู้มต้ามยิ่งกว่าตอนเดินเลียบริมหน้าผาเสียอีก ครั้งที่สอง คือตอนไปเล่นป่าแถวน้ำตกพลวง จ.จันทบุรี เดินๆอยู่ก็มีกองทัพทากมาล้อมวงเราไว้เป็นวงกลมเลย จะหันไปทางไหนก็เห็นเป็นกองทัพทากกำลังเต้นระบำอยู่บนพื้น ทำได้เพียงปิดตาแล้ววิ่งหนีออกมา คราวนั้นฉันทำบาปด้วยการเหยียบทากตายติดพื้นรองเท้าไปหลายตัว (พอดีกว่า เดี๋ยวคนอ่านจะผวาไม่กล้าไปเดินป่ากันหมด )
หลังจากจัดการกับทากเจ้าถิ่นเรียบร้อยแล้ว เราก็เริ่มมองหาพื้นที่เรียบๆสำหรับกางเต๊นท์ โดยเรามีเต๊นท์ทั้งหมด 3 หลัง สำหรับ 7 คนไว้นอนเบียดกันคลายหนาว ส่วนพี่น๊อตตี้และพี่อ้อได้เตรียมห้องนอนพร้อมเปลส่วนตัวกันมาคนละห้อง น่าแอบไปนอนเล่นเป็นที่สุด วันที่ไป ทั้งป่ามีเพียงกรุ๊ปของพวกเรากรุ๊ปเดียว เราเลยยึดพื้นที่ตรงลานเชิงเขานั้นทั้งหมด
นอกจากนลานกิจกรรมหน้าเต๊นท์ ที่พวกเราตั้งชื่อเก๋ๆไว้เรียกทุกครั้งเวลาไปค้างแรมในป่าว่า “ลานคนเมือง”
ลานคนเมือง จะเป็นทั้งห้องครัว โต๊ะอาหาร ห้องนั่งเล่น และลานดูดาวในคืนเดือนมืด
เมื่อเราจัดการกับที่พักอันเรียบง่ายกลางป่าเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาเตรียมหุงหาอาหารสำหรับมื้อเย็น เนื่องจากเรายังมีเวลาตอนเย็นอีกหลายชั่วโมง จึงแค่ฝากพี่ๆลูกหาบหุงข้าวสวยไว้ ก่อนที่จะเดินขึ้นไปบนยอดสูงสุดของดอยหลวงตากเพื่อไปชมวิวยามอาทิตย์อัสดง แล้วค่อยกลับมาทำกับข้าวและทานอาหารเย็นกัน
ยอดสูงสุดของดอยหลวงตาก อยู่ไม่ไกลจากจุดพักแรม ทางขึ้นจะค่อนข้างชันและลื่น ต้องค่อยๆเดินอย่างระมัดระวัง
แต่วิวระหว่างทางที่เดินขึ้นไปสวยงาม ทำให้เราค่อยๆเดินไปช้า แวะถ่ายภาพวิวภูเขาเขียวๆกันแทบจะก้าวเว้นก้าว
ยอดดอยหลวงตากเป็นภูเขาทุ่งหญ้า เพราะยอดภูเขาสูงแบบนี้มีลมปะทะ ทำให้ต้นอ่อนของไม้ใหญ่ไม่สามารถเติบโตได้ จึงมีแต่หญ้าสีเขียวอ่อนสบายตา
“สิ่งที่สำคัญไม่ได้อยู่ที่กล้องถ่ายรูป แต่อยู่ที่มุมมอง” – Alfred Eisenstaedt
บนยอดดอยหลวงตาก มีลานหญ้ากว้างๆให้เราได้นั่งเล่นชิมวิวภูเขา สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด ฟังเสียงของธรรมชาติ อยู่ในบรรยากาศดีๆแบบนี้กับเพื่อนๆคอเดียวกัน ทำให้ฉันนึกถึงคำพูดหนึ่งที่ว่า ขอนั่งตรงนี้ให้ธรรมชาติบำบัด รอพระอาทิตย์ตกลงไปในหุบเขา
สิ่งที่ฉันชอบอีกอย่างคือ บรรยากาศบนยอดเขาก่อนช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดิน เพราะเวลานี้เราจะได้สนุกกับการลุ้นว่าวันนี้ท้องฟ้าที่อยู่เหมือนจะไม่ไกลเกินมือคว้า จะเปลี่ยนเป็นสีอะไร ในทุกๆครั้งที่อยู่บนภูเขา ท้องฟ้าไม่เคยเป็นสีเดิม รูปร่างของกลุ่มก้อนเมฆก็ไม่เคยเหมือนเดิม มักเล่นสนุกเปลี่ยนแปลงรูปร่างให้เราสนุกกับจินตนาการของตัวเอง บางครั้งฟ้าก็เปิดจนสามารถเห็นพระอาทิตย์ดวงกลมๆโตๆหล่นตุ๊บไปในหุบเขาเบื้องล่าง บางครั้งเมฆก็เล่นตลก ลอยมารวมตัวกันบดบังพระอาทิตย์พระเอกยามเย็นของพวกเราเสียนี่ แถมบางครั้งเมฆยังอัดอั้นร้องไหออกมาเป็นสายฝนให้เราต้องวิ่งกลับเข้าเต๊นท์แทบไม่ทัน ก่อนมาถึงยอดเขา ไม่มีใครบอกเราได้ว่าวันนี้ธรรมชาติจะแสดงบทบาทอะไรให้เราดู การไปเที่ยวภูเขา คาดหวังอะไรไม่ได้สักอย่าง และฉันคิดว่า นี่คือของเสน่ห์ของธรรมชาติ
แสงสีทองที่ทอดลงไปบนต้นไม้สีเขียวเข้มและพื้นหญ้าสีเขียวอ่อน เปลี่ยนภาพเบื้องหน้าให้เป็นทุ่งสีทองปนเขียวขี้ม้างามแปลกตา ธรรมชาติเป็นจิตรกรเอกของโลกในสายตาฉัน
เพื่อนหลายคนชอบถามว่า “เอาตัวเองไปลำบากทำไม ไปเที่ยวสบายๆไม่ดีกว่าเหรอ” ฉันก็เคยถามคำถามนั้นกับตัวเองบ้างเหมือนกัน ฉันจึงลองไปเพื่อหาคำตอบนั้นด้วยตนเอง ฉันคิดว่าการไปเที่ยวภูเขาหรือเดินป่าไม่จำเป็นต้องไปลำบาก เราแค่อย่าแบกอะไรไปเยอะ แบกของไม่จำเป็นไปเราก็จะหนักและเหนื่อย แถมทุกครั้งเรายังไปทิ้งขยะในใจ เดินกลับออกมาตัวเบาเดินปลิวกันเลยทีเดียว (แล้วค่อยกลับมาสะสมขยะในใจใหม่จากในเมือง)
ถึงแม้วันนั้น ภาพพระอาทิตย์ตกเขาบนยอดดอยหลวงตากจะไม่ได้สวยจนทำให้ฉันแทบหยุดหายใจเหมือนพระอาทิตย์ตกบนยอดเขาลูกอื่น แต่ฉันก็เลือกที่จะมาเฝ้ามองพระอาทิตย์ชัดๆใกล้ๆ ในหนึ่งปี เราจะมีโอกาสแบบนี้สักกี่หนกัน
ก่อนที่ท้องฟ้าจะมืดสนิท และขุนเขาเบื้องหน้าจะกลายเป็นก้อนดำทะมึน เราบอกลาพระอาทิตย์แล้วเดินกลับไปยังจุดกางเต้นท์ เราช่วยกันทำอาหารง่ายๆ หน้าตาอาจจะดูไม่น่าทาน รสชาตอาจจะไม่ใช่ระดับมิชลินสตาร์ แต่ไม่รู้ทำไม ฉันโหยหารสชาตและบรรยากาศล้อมวงแย่งกันกินอาหารแบบนี้มากที่สุดในรอบปีที่ผ่านมา
คืนนั้นฟ้าไม่โปร่งและมืดสนิทจนเห็นดาวเต็มท้องฟ้า แต่ก็ยังพอเห็นดาวดวงน้อยส่องแสงะยิบระยับอยู่ไกลๆ สิ่งที่ฉันชอบเวลาอยู่ในป่า คือ การตัดขาดกับสัญญาณโทรศัพท์ ปล่อยเวลาให้ตัวเองสัมผัสธรรมชาติและใช้เวลาพูดคุยกับเพื่อนข้างกายให้มากที่สุด ถึงแม้บนยอดเขานี้จะมีสัญญาณโทรศัพท์แต่ฉันก็เลือกที่จะปิดโทรศัพท์อยู่ดี คืนนั้นพวกเราซักแห้งเพราะด้านบนไม่มีแหล่งน้ำให้อาบน้ำ ทำได้เพียงล้างหน้าล้างตาแปรงฟัน เปลี่ยนชุดแล้วเข้านอนกันแต่หัวค่ำ
เราตั้งใจกันว่าจะตื่นขึ้นไปดูทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นกันตอนตีห้าครึ่ง เตียงนอนของฉันไม่ได้นุ่มสบายเหมือนเตียงที่บ้าน แถมยังหลับๆตื่นๆคอยระวังน้ำค้างไหลเข้าเต๊นท์ ฉันจึงมาหลับสนิทจริงๆก็ตอนเกือบรุ่งเช้า เมื่อได้ยินเสียงจากนอกเต๊นท์บอกมาว่า “หมอกฟุ้งกระจายเต็มเลย ขึ้นไปก็คงไม่เห็นทะเลหมอกหรอก” ฉันจึงล้มตัวลงนอนต่อจนถึงเช้า ก่อนมาก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอทะเลหมอกสวยๆ แต่ก็มีโอกาสไปชมก็จะไม่พลาด เพราะถือว่าเป็นกำไรของการเดินทาง แต่ถ้าฟ้าไม่เป็นใจ ก็นอนซะ บอกแล้วว่า มาเที่ยวชมธรรมชาติ ต้องไม่คาดหวัง
การไปค้างแรมในป่า ทำให้เราเข้านอนเร็วและตื่นเช้ากว่าปกติโดยไม่อิดออด หลังจากลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาแปรงฟัน เราก็ช่วยกันทำอาหารเช้าง่ายๆ ไม่ต้องเตรียมอาหารกลางวัน เพราะทางเดินลงไม่ยาก เราน่าจะทำเวลาได้ดีกว่าขาขึ้นมา และลงไปทันกินอาหารกลางวันในตำบลได้พอดี แต่คราวนี้ฉันไม่ลืมที่จะเตรียมน้ำไปเยอะๆ เพราะอากาศน่าจะร้อนอบอ้าวเหมือนเดิม
ท้องอิ่ม เราก็ช่วยกันเก็บข้าวของเก็บเต๊นท์และสัมภาระส่วนตัวเพื่อให้ลูกหาบเตรียมขนกลับไปยังข้างล่าง ฉันหันไปมองพี่ๆลูกหาบจัดข้าวของอย่างคล่องแคล่ว พวกเขาสามารถใช้ชีวิตได้ง่ายๆกับของเหลือใช้รอบตัว กระสอบปุ๋ยที่ผูกกับผ้าขาวม้าดูเหมือนจะทำหน้าที่ได้ดีกว่ากระเป๋าเป้แบรนด์เนมราคาแพงของฉันมากนัก
ขากลับ ฉันกลั้นใจรับเดินผ่าดงป่าชื้นและป่าไผ่ออกไปให้เร็วเพราะกลัวทาก แต่สุดท้ายก็ต้องแวะชื่นชมธรรมชาติแถบนั้นกันอยู่นาน เพราะตรงนั้นมีต้นไม้แปลกๆเยอะ โดยเฉพาะกลุ่มดอกเห็ดสวยๆ ยอมเสี่ยงลงไปนั่งเกือบติดพื้นแฉะๆเพื่อถ่ายภาพดอกเห็ด ถ่ายภาพไปก็กลัวทากไป แต่ก็เก็บมาได้หลายภาพเหมือนกัน
เมื่อหลุดออกมาจากดงป่าชื้น เราก็เห็นแมลงคล้ายตั๊กแตนสีสวยสองตัวกำลังค่อยๆเดินเข้าหากันอยู่บนกิ่งไม้ ทั้งสองตัวต่างจ้องคอยดูท่าทีของอีกฝ่าย พวกเราลุ้นกันอยู่นานว่ามันจะมีกลยุทธ์ในการต่อสู้กันอย่างไร ลุงธรรมหยิบตัวหนึ่งหงายท้องให้เราดูว่าท้องมันมีสีสวยมาก ก่อนจะปล่อยมันไปจ้องตากับอีกตัวบนกิ่งไม้อีกครั้ง สุดท้ายมันก็เอาหนวดชนกันแล้วขี่หลังก่อนจะตกจากกิ่งไม้ลงไปทั้งคู่ เป็นอันจบการแสดงศิลปะการต่อสู้ของตั๊กแตน
อากาศตอนเช้าค่อนข้างเย็นสบาย หมอกกระจายปกคลุมทั่วขุนเขา เราเลยเดินลงเขากันอย่างชิลล์ๆ
อย่างที่เกริ่นไว้ตอนต้น เส้นทางเดินป่าที่นี่ค่อนข้างชัดเจนและมีหลายเส้นทาง เพราะเป็นเส้นทางที่ชาวบ้านและฝูงวัวใช้สัญจรเป็นประจำ ฉันและเพื่อนอีกห้าคนที่เกาะกลุ่มเดินกันอยู่ด้านหลัง เริ่มเดินห่างจากพี่น๊อตตี้ พี่อ้อ พี่เจ้าหน้าที่และลูกหาบจนมองไม่เห็นหลัง แต่พวกเราก็เดินตามทางที่ชัดเจนไปเรื่อยๆ จนได้ยินเสียงน้ำตก เราก็เริ่มทักกันว่า “เอ๊ะ ตอนขามาเรายังไม่ได้ผ่านน้ำตกในป่านี่นา มีเพียงลำธารช่วงต้นๆ หรือว่าเราจะหลงทาง???” เมื่อทุกคนเห็นพร้องต้องกัน เราก็เดินย้อนกลับทางเดิน แต่ตัดขึ้นเนินเขาไปด้วยสัญชาติญาณจนมาถึงริมผาที่ไม่คุ้นตา
มาถึงตรงนี้พวกเรารู้ตัวแล้วว่าเราหลงทางแน่นอน เพราะตอนขามาเราไม่เห็นหน้าผาสวยๆแบบนี้ ตอนแรกเรายังมีอารมณ์สนุกสนานหัวเราะเฮฮากันว่า เราแวะมาถ่ายรูปเล่นกันเพราะวิวตรงนี้สวย แถมยังมีการถ่ายรูปหมู่แกงค์หลงทางกันด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้ม
เราเริ่มแยกย้ายกันมองหาว่าเราควรเดินกลับไปทางไหน แต่มีทางแยกเยอะแยะไปหมด และทุกทางก็เป็นทางที่ชัดเจน จนพวกเราสับสนและไม่แน่ใจว่าเราเริ่มต้นหลงทางกันตรงจุดไหนกันแน่ ตอนแรกเราเกือบดันทุรังไต่ลงเขาไปทางที่เราก็รู้ตัวว่าผิด แต่หวังว่าเมื่อลงไปเจอหมู่บ้านด้านล่างแล้วเราน่าจะติดต่อเจ้าหน้าที่หรือหาทางกลับสำนักงานเทศบาลง่ายขึ้น แต่ทางลงเขาตรงนั้นค่อนข้างชันและฝนก็เริ่มโปรยลงมา พวกเราอีกสองสามคนเลยคัดคานไว้ว่า อย่าเสี่ยงลงไปทางนั้นเลยเพราะเราไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เราควรจะเดินย้อนกลับไปทางเดิมแล้วพยายามโทรติดต่อพี่เจ้าหน้าที่
นับเป็นความโชคดีที่ยอดเขาแห่งนี้มีสัญญาณโทรศัพท์ ในที่สุดเราก็ติดต่อพี่ล้วนได้ แต่เราก็ไม่สามารถอธิบายให้พี่ล้วนเข้าใจได้ว่าพวกเราอยู่ไหนและเริ่มหลงทางกันตั้งแต่ตรงจุดไหน แต่อย่างน้อยเจ้าหน้าที่ก็รู้แล้วว่าพวกเราหลงทาง และเริ่มส่งคนมาตามหาพวกเรา เราเดินวนไปเวียนมาอยู่ตรงจุดนั้นเป็นชั่วโมง โชคดีที่ป่าตรงนี้ไม่ได้เป็นป่าทึบที่จะมีสัตว์ป่าดุร้ายและฝนก็ไม่ได้ตกลงมาอย่างไม่ปราณี
ในที่สุดพี่เจ้าหน้าที่ก็ตามหาพวกเราจนเจอ แล้วพาเราย้อนเดินกลับไปทางเดิม เราถึงได้รู้ว่าเราเดินหลงกันไปไกลพอสมควร แบบที่ไม่อาจจะเรียกว่าหลงป่าธรรมดา แต่น่าจะเรียกว่า หลงเขา เพราะเดินหลงไปไกลถึงเขาอีกลูกหนึ่งทีเดียว เมื่อมาถึงแยกหนึ่ง เราก็ได้พบกับคำตอบว่าทำไมเราถึงได้หลงไปทางนั้น เพราะตรงนั้นบังเอิญมีกิ่งไม้แห้งหักลงมาปิดทางอยู่ เมื่อพวกเราเดินมาถึงก็ไม่ได้ข้ามกิ่งไม้แห้งนั้นไป แต่เดินหลีกไปอีกทางที่เห็นชัดเจนกว่า มาถึงตรงนี้พวกเราทั้งหกคนก็หัวเราะให้กับความผิดพลาดกันลั่นป่า และไม่ยอมรับว่าเป็นความผิดของพวกเรา แต่เป็นความผิดของกิ่งไม้นั่นต่างหาก
หลังจากนั้นพี่ล้วนก็แทบจะไม่ให้พวกเราคลาดสายตา ถึงแม้พี่ล้วนจะเดินเร็วแต่ก็คอยหยุดและหันมามองพวกเราเป็นระยะๆ มีอีก 2-3 ครั้งที่หนึ่งในพวกเราเดินไปอีกเส้นทาง จนพี่ล้วนต้องรีบตะโกนหาให้เดินมาในทางที่ถูกต้อง
การเดินป่าดอยหลวงตากครั้งนี้ เหมือนจะราบเรียบและง่ายกว่าการเดินป่าครั้งไหนๆ แต่สุดท้ายเราก็มีเรื่องให้ตื่นเต้นจนได้ เราหัวเราให้กันแล้วบอกว่า “จะได้มีเรื่องไว้เล่าไว้แซวกันในทริปต่อไป”
การเดินทางครั้งนี้ได้เพิ่มเติมบทเรียนการเดินป่าให้เราอีกหลายข้อ
– ให้เดินเกาะกลุ่มกัน และอย่าทิ้งระยะห่างจากผู้นำทางหรือคนในพื้นที่ไกลนัก ถึงแม้ว่าเส้นทางจะดูเรียบง่าย
– ต้องคอยเช็คชื่อเพื่อนๆที่เดินใกล้ๆกัน เป็นระยะๆ
– เมื่อรู้ตัวว่าหลงป่า ต้องตั้งสติ อย่าแยกออกไปหาทางคนเดียวหรือแยกกลุ่มกันไป ให้ไปด้วยกันทั้งกลุ่ม ช่วยกันระดมความคิดและตัดสินใจ อย่าทะเลาะกัน ต้องรักและสามัคคีกันเข้าไว้
– ถ้ารู้ตัวว่าทางข้างหน้าไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง อย่าดันทุรังเดินไปเพียงเพื่อหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือข้างหน้า เพราะมาทราบทีหลังว่า ทางนั้นอันตรายและจะไปยังอีกอำเภอหนึ่งเลยทีเดียว แต่ควรจะค่อยย้อนกลับไปตั้งหลักที่เดิม ณ จุดที่มีจุดสังเกตชัดเจน
ในที่สุดพวกเราก็กลับมาถึงจุดตั้งต้นช้าไปเกือบสองชั่วโมง เพื่อนๆที่เหลือนอนรอพวกเราบน “รถเพื่อการเกษตร” หลับไปหลายตื่นแล้ว สิ่งแรกที่พวกเราทำเมื่อมาถึงเขตเทศบาลตำบลก็คือหาร้านอาหารตามสั่ง เพราะเลยเวลาอาหารเที่ยงมานานแล้ว คราวนี้พวกเราสั่งอาหารทานกันคนละสองจานทีเดียว การหลงทางเพิ่มศักยภาพในการรับประทานอาหารได้ดีมากๆ
ฉันรัก(ขุน)เขา เพราะเขาทำให้ฉันได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง เรียนรู้การใช้ชีวิตง่ายๆ เรียนรู้ความสำคัญของป่า การอยู่ร่วมกันพึ่งพาอาศัยกัน เรียนรู้เพื่อนร่วมทาง เรียนรู้มิตรภาพเล็กๆที่เกิดขึ้นตอนที่มีใครคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ ตอนที่ช่วยกันกางเต๊นท์ ตอนช่วยกันเก็บทาก ตอนที่นั่งมองพระอาทิตย์ หรือแม้แต่ตอนหลงป่า และที่สำคัญที่สุด ฉันได้เรียนรู้ตัวเอง เรียนรู้ว่าร่างกายฉันมีประสิทธิภาพแค่ไหน หัวใจเต้นแรงแค่ไหน สมองคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องใด จนถึงวินาทีที่ฉันลืมทุกสิ่งทุกอย่างลืมความวุ่นวายและเรื่องเครียดๆในเมืองใหญ่ รู้เพียงว่า ณ วินาทีนั้น มีเพียงฉันและธรรมชาติรอบกายให้คิดถึง ได้ยินเสียงลม ได้กลิ่นหญ้า ได้เห็นท้องฟ้าเปลี่ยนสี
กลับออกจากป่า ฉันก็ยังหาคำตอบไปให้เพื่อนที่ถามว่า “เอาตัวเองไปลำบากทำไม” ยังไม่ได้ นอกจากตอบไปสั้นๆว่า “ไม่ไปเอง ก็ไม่รู้” ฉันไม่รู้ว่าเพื่อนคนนั้นคิดยังไงกับคำตอบที่ได้รับ ส่วนฉันคิดแค่ว่า คราวหน้าเราจะไปที่เขาไหนดี
การเดินทางครั้งนี้จะไม่สมบูรณ์ หากขาดเพื่อนร่วมทางที่ดี ที่ฉันอยากขอบคุณพวกเขาเป็นพิเศษ
เพื่อนรักทั้งสามคน กบ จิ๋ม และเอ สำหรับมิตรภาพอันยาวนานและการเดินทางด้วยกันเสมอมา
พี่อ้อและน้องโบว์ หญิงแกร่งที่ทำให้ฉันฟิตเพื่อจะกลับไปพิชิต(ใจ)เขาอีกครั้ง
พี่นัทคุง กับเรื่องเล่าเล็กๆจากการเดินทางที่เราแลกเปลี่ยนกัน คราวหน้าเราจะเจอกันอีกที่เขาไหนเนี่ยะ
พี่น๊อตตี้ สำหรับเคล็ดลับเดินป่าที่ถ่ายทอดมาให้แบบไม่รู้ตัว และความสนุกสนานระหว่างทาง
พี่ซันและพี่ตอง สำหรับมิตรภาพใหม่และไมตรี ไว้เจอกันอีกนะคะ
พี่ล้วน เจ้าหน้าที่วนอุทยานฯที่นำทาง ให้ความสะดวกและตามหาพวกเราจนเจอ
ลูกหาบ ที่ช่วยพวกเราขนของ หาน้ำ หุงข้าว และอำนวยความสะดวกทุกอย่าง
ลุงธรรม ลูกหาบที่น่ารักที่สุดในทริป ลุงธรรมชอบแอบถ่ายภาพพวกเราด้วย แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ชัดสักรูป 🙂
และสุดท้ายขอบคุณ ตัวเอง ที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อหลง(รัก)เขามากขึ้นอีกหลายเท่า
สำหรับเพื่อนๆที่สนใจไปพิชิตยอดดอยหลวงตาก สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ล่วงหน้าได้ที่เบอร์ข้างล่างนี้นะคะ
หัวหน้าอุทยานแห่งชาติตากสินมหาราช 055-511429
วนอุทยานน้ำตกห้วยแม่ไข 084-8178549
พี่ล้วน เจ้าหน้าที่วนอุทยานน้ำตกห้วยแม่ไข 087-5722950
ขอขอบคุณทุกคนที่ติดตามการเดินทางในครั้งนี้ค่ะ