เวลาเกือบๆสี่ทุ่ม ขบวนรถไฟสายคลาสสิคฮานอย-ซาปาค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากชานชาลา เราสองคนจัดแจงข้าวของให้เข้าที่เข้าทาง จุ๊ปีขึ้นไปบนเตียงด้านบนเพื่อสำรวจที่หลับที่นอน ภายในตู้มีสี่เตียงฝั่งละสองชั้น ฝั่งตรงข้ามเป็นคู่รักหนุ่มสาวชาวเวียดที่มีโลกส่วนตัวเกินกว่าที่พวกเราสองคนจะก้าวเข้าไปรบกวนเอ่ยคำทักทายทำความรู้จัก หลังจากล้างหน้าแปรงฟันก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงแคบๆแต่นุ่มอุ่นสบาย คืนนี้ขอนอนหลับยาวๆก่อนที่จะตื่นขึ้นมาไปลุยเมืองซาปาในวันรุ่งขึ้น ใจลึกๆก็แอบกังวลว่าอากาศที่นั่นจะเป็นยังไง เสื้อผ้าที่นำติดตัวมาจะพอกันหนาวไหม ถ้อากาศไม่เป็นใจท้องฟ้าไม่สดใส เราจะนอนเล่นกันในโรงแรมอย่างที่คุยเล่นกันจริงๆเหรอ ขบวนรถไฟแกว่งไปมา…แล้วจุ๊ก็เผลอหลับไป โทรศัพท์มือถือบอกเวลา 6 นาฬิกา ตามกำหนดอีกไม่นานขบวนถไฟก็จะพาเรามาถึงสถานีปลายทางลาวไก (Lao Cai) ผู้คนบนรถไฟเริ่มจัดข้าวของเป็นสัญญาณให้พวกเราเริ่มเตรียมตัวเช่นกัน นักเดินทางทั้งชาวท้องถิ่นและชาวต่างชาติทยอยกันก้าวลงจากขบวนรถไฟในเวลาประมาณ 6:30 น. พอดี ป้ายสถานี Lao Cai ตัวโตๆทำให้มั่นใจว่าเรามาไม่ผิดที่ ขณะที่กำลังพะรุงพะรังกับสัมภาระ สาวเวียดเตียงตรงข้ามก็มาสะกิดและยื่นกระเป๋าเลนส์กล้องใบเล็กให้ ตอนนั้นใจจุ๊ตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ของสำคัญมีค่าขนาดนี้ลืมทิ้งไว้ได้ยังไง รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากๆที่เจอคนจิตใจดีนำของมาคืนให้ ได้แต่กล่าวขอบคุณและยิ้มบางๆกลับไป
เราเดินตามนักท่องเที่ยวออกมาด้นนอกสถานีรถไฟ สอดส่ายสายตามองหาป้ายชื่อโรงแรมเพราะจองรถมินิแวนของโรงแรมให้มารับ พนักงานที่ชูป้ายเดินนำพวกเรามายังลานจอดรถที่มีรถมินิแวนหลายคันจอดรอนักท่องเที่ยวอยู่ จุดนี้น่าจะเป็นจุดเดียวกับรถประจำทางสายลาวไก-ซาปา แต่เช้าตรู่แบบนี้พวกเราขออาศัยความสะดวกที่จะไปส่งพวกเราถึงหน้าโรงแรมเลย (ค่าบริการมินิแวนคนละ 3USD ถ้าเหมารถส่วนตัวประมาณคันละ 30-35USD) พวกเราสองคนได้นั่งด้านหน้าคู่กับคนขับรถ จึงได้เห็นวิวสวยๆข้างทางบนเส้นทางที่คดเคี้ยวไปตามเชิงเขา แม้ว่าจะหมอกจะลงหนาจัดแต่ก็ได้เห็นว่าบรรยากาศนั้นสวยงามเพียงใด
ประมาณชั่วโมงกว่าๆ เราก็มาถึงโรงแรม Sapa House โรงแรมขนาดกลางที่ตั้งห่างออกไปจากตัวเมืองซาปาเล็กน้อย พวกเราเลือกพักที่นี่เพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายของเมือง แต่ก็ยังสามารถเดินไปตัวเมืองซาปาได้อย่างสะดวก พนักงานต้อนรับพวกเราอย่างดี เนื่องจากยังไม่ถึงเวลา check -in ของโรงแรม เราสองคนจึงฝากกระเป๋าไว้ ล้างหน้าล้างตาแล้วออกไปเดินเล่นในตัวเมืองซาปากัน
ร้านหนังสือม้งตรงทางเข้าโรงแรม น้องหมาที่ซาปาดุมากค่ะ อย่าเข้าไปใกล้นัก คำเตือนจากผู้มีประสบการณ์ตรง โดนหมาซาปาไล่เห่าหลายรอบมาก โชคดีที่ไม่โดนกัด
ยามเช้า เราจะเห็นชาวม้งบ้างแบกตะกร้าบ้างแบกลูกน้อยขึ้นหลังเดินทางเข้าตัวเมืองซาปา เพื่อไปทำมาค้าขายสินค้าพวกงานฝีมือของที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยว
บันหมี (Banh Mi) หรือ Baguette ขนมปังฝรั่งเศส เป็นวัฒนธรรมอาหารเช้าที่ชาวเวียดนามได้รับอิทธิพลและดัดแปลงมาตั้งแต่สมัยเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส ตามถนนหนทางในเวียดนามมักจะเห็นรถเข็นบันหมีอยู่ทั่วไป ไส้บันหมีจะหลากหลายแตกต่างกันไป เช่น ผัก ไส้กรอก หมูยอ (Baguette ที่จุ๊ชอบที่สุดอยู่ที่หลวงพระบางค่ะ)
เมื่อเดินมาถึงจตุรัสซาปา Sapa Squar เราจะเห็นโบสถ์คาทอลิก (Sapa church) เก่าแก่โดดเด่นคราคร่ำไปด้วยผู้คน ทั้งนักท่องเที่ยวที่มาถ่ายภาพตรงจตุรัสและชาวเขาเผ่าม้งที่มาเดินวนเวียนใกล้ๆเพื่อขายสินค้าแก่นักท่องเที่ยว วันนี้ที่โบสถ์มีชาวซาปามาทำพิธีอะไรสักอย่างในโบสถ์ พวกเราเลยไม่ได้เข้าไปชมด้านในได้แต่เดินชมบรรยากาศรอบๆ
ภาพชาวเขาเผ่าม้งที่แต่งชุดประจำเผ่าสวมทับด้วยเสื้อกันหนาวแฟชั่น เป็นสีสันใหม่ในซาปาที่จุ๊ไม่เห็นเมื่อครั้งมาเยือนซาปาเมื่อสิบปีก่อน แฟชั่นในซาปาเติบโตขึ้นอย่างน่าตกใจ ซัฒนธรมการแต่งกายแบบจีนเกาหลีญี่ปุ่นแพร่หลายเข้ามาที่นี่อย่างรวดเร็ว (แอบคิดในใจว่านักท่องเที่ยวชาวไทยน่าจะมีส่วนไม่น้อยกับการเติบโตทางแฟชั่นนี้)
ฝั่งตรงข้ามของจตุรัสซาปา มีอนุสรณ์อนุสรณ์สถานของท่านประธานาธิบดีโฮจิมินห์ ซึ่งกลายเป็นลานกิจกรรมสำหรับผู้คนมานั่งเล่น หรือเล่นกีฬา
เดินเล่นชมผู้คนตรงจตุรัสซาปาได้สักครู่หนึ่ง จุ๊ก็ชักชวนเพื่อนสาวเดินไปยังหมู่บ้านกั๊ตกั๊ต (Cat Cat Village) หมู่บ้านชาวม้งที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตของซาปา โดยสามารถเดินไปเรื่อยๆตามถนนฟานซิปัน (Fansipan st.) จากจตุรัสซาปาเป็นระยะทางประมาณ 2 กม. นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเช่ารถมอเตอร์ไซต์ขับไปจากซาปา แต่พวกเราเลือกที่จะเดินกินลมชมวิวไปเรื่อยๆ อากาศเย็นๆยามเช้าชวนให้เดินเล่นออกกำลังยิ่งนัก แถมยังได้ชิลล์ไปกับบรรยากาศสองข้างทางด้วย
ช่วงต้นถนนฟานซิปันจะเต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหาร อาหารปิ้งย่างสไตล์จีนเสฉวนดูจะเป็นเมนูอาหารยอดนิยมที่นี่ หมูเห็ดเป็ดไก่มีครบ ทั้งหมูหัน เนื้อย่าง ไส้ย่าง ไก่ย่าง ตีนไก่ อีกมากมาย จุ๊เคยชิม BBQ เสียบไม้แบบนี้ที่เมืองจีนและทิเบต เนื้อและผักจะมีการคลุกผงปรุงรส ทั้งผงชูรส อูมามิ เกลือ และพริกป่น ก่อนที่จะนำไปปิ้งย่างกัน รสชาตพอใช้ได้ค่ะ แต่ที่ซาปานี่จุ๊ไม่ได้ลองชิมค่ะ
อากาศยามเช้าที่ซาปาช่วงต้นปีนี่หนาวมากค่ะ อุณหภูมิเลขตัวเดียวตลอดทั้งวัน บางวันเกือบติดลบ ชาวบ้านยังนั่งผิงไฟคลายหนาวกันเลย ก่อนที่จุ๊จะมาถึงหนึ่งวันมีข่าวหิมะตกหนักมากที่ซาปา ยังพอมองเห็นร่องรอยหิมะบนถนนหลงเหลืออยู่บ้าง ตอนที่ได้ยินข่าวนี่จุ๊ไม่ได้ดีใจหรือตื่นเต้นว่าจะได้เห็นหิมะเลยนะคะ เพราะหิมะตกบนภูเขานี่ไม่น่าสนุกเท่าไหร่ เดินทางลำบากและคงออกไปเที่ยวไหนไม่ได้ แต่นับว่าเรายังโชคดีที่มาถึงแล้วหิมะหยุดตกพอดี
นอกจากร้านอาหาร สองข้างทางบนถนนฟานซิปันยังเต็มไปด้วยร้านค้าของที่ระลึกและเกสเฮาส์ จุ๊ชอบกระโปรงตัวด้านหน้าสุดนี่มากเลยค่ะ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กลับไปซื้อ ราคาค่อนข้างสูงเพราะเป็นสินค้าทำมือที่ผู้ทำต้องใช้ทั้งฝีมือและความอดทนมาก ตามท้องถนนเราจะเห็นสินค้าคล้ายๆกัน แต่หากไปลองจับพิจารณาใกล้ๆจะเห็นว่าคุณภาพและฝีมือแตกต่างกัน สินค้าที่เป็นอุตสาหกรรมไม่ใช่สินค้าทำมือจะมีราคาถูกลงมาหน่อยค่ะ
ขณะที่เดินเพลินๆ สายตาจุ๊จะเหลือบไปสะดุดกับหน้าร้านของบริษัททัวร์แห่งหนึ่ง ชื่อว่า Vietnam Momadtrails ที่ตกแต่งร้านด้วยวัสดุธรรมชาติ ก็เลยลองเข้าไปด้านใน ตั้งใจว่าจะเข้าไปสอบถามข้อมูลโปรแกรมเดินขึ้นฟานซิปันที่จุ๊ตั้งใจจะไปปีหน้า พนักงานสาวทั้งสองคนยิ้มต้อนรับพวกเราอย่างอบอุ่น แถมยังใจดีให้ข้อมูลท่องเที่ยวในซาปาแบบที่เราไม่เคยทราบมาก่อนอีกเป็นกระบุง และสุดท้ายพวกเราก็หลวมตัวซื้อทัวร์เทรคกิ้งงหมู่บ้าน Matra – Ta Phin ในวันพรุ่งนี้ เพราะตดกับความน่ารักอัธยาศัยดีของพนักงานที่นี่ หลังจากนัดแนะเวลานัดหมายในวันพรุ่งนี้ แลกเปลี่ยน e-mail สำหรับติดต่อทัวร์ปีนเขาปีหน้าแล้ว พวกเราก็ขอตัวแยกย้ายไปเที่ยวหมู่บ้านกั๊ตกั๊ตกันต่อ
หมู่บ้านกั๊ตกั๊ตตั้งอยู่กลางหุบเขา ยิ่งเดินลงเขายิ่งมีหมอกหนาบดบังทัศนียภาพข้างทางไปพอสมควร แต่ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ ระหว่างทางเราเดินสวนทางกับชาวม้งที่เดินมาจากหมู่บ้านขึ้นไปยังตัวเมืองเพื่อทำงานหรือขายสินค้าแก่นักท่องเที่ยวเป็นระยะๆ
นอกจากชาวบ้านแล้ว เรายังได้เจอกับฝูงวัวฝูงควายที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ เดินหลบกองระเบิดกันให้ดีละกันนะคะ 🙂
เมื่อเดินไปได้ประมาณครึ่งทาง พวกเราก็สะดุดตาเข้ากับคาเฟ่แกลอรี่เล็กๆข้างทาง ร้านนี้ชื่อว่า HL Studio ที่เป็นทั้งสตูดิโอแสดงผลงานศิลปะและมีเครื่องดื่มบริการด้วย ร้านน่ารัก อบอุ่น ติสต์ แนว ถูกใจสาวอินดี้แบบเรามากๆ เราสองคนหยุดใช้เวลากับที่นี่นานพอสมควรค่ะ ดื่มด่ำบรรยากาศและงานศิลปะที่เรียบง่ายจนอิ่มใจ แอบจินตนาการว่ามีคาเฟ่ชิคๆเก๋ๆแบบนี้เป็นของตัวเองบ้าง จุ๊ชอบรายละเอียดทุกสิ่งอย่างที่นี่ ภาพวาด เมนูเครื่องดื่ม โต๊ะ เก้าอี้ ผ้าปูโต๊ะ หน้าต่างที่เป็นสมุดเยี่ยมในตัว ของตกแต่งร้าน ศิลปะแบบง่ายๆที่ล้วนแสดงถึงความตั้งใจและความละเอียดอ่อนของเจ้าของร้านหนุ่ม เป็นที่หนึ่งที่จุ๊อยากแนะนำสำหรับคอศิลปะเลยค่ะ
ติดกับ HL Studio เป็นร้านขายของที่ระลึกหินอ่อนแกะสลัก ชื่อว่า Hieu-Stone เจ้าของร้านเป็นหญิงสาวสวยพร้อมลูกน้อยตัวเล็กน่ารักอีกสองคน พวกเธอยิ้มต้อนรับเชื้อเชิญให้พวกเราเข้าไปชมสินค้าด้านใน ถึงแม้พวกเราจะไม่ได้ช่วยอุดหนุนซื้ออะไรติดไม้ติดมือกลับมาด้วย แต่ครอบครัวนี้ก็ให้ใจพวกเรากลับมาเป็นที่ระลึกด้วย
และแล้วพวกเราก็เดินมาถึง Gem Valley Art Gallery อีกหนึ่งสถานที่ยอดฮิตสำหรับผู้มาเยือนหมู่บ้านกั๊ตกั๊ต จุณมองหาที่นี่มานานเพราะแอบได้ยินมาว่านอกจากที่นี่จะมีงานศิลปะมากมายแล้ว ยังเป็นโฮมสเตย์ ร้านกาแฟ และมีวิวนาขั้นบันไดหลังร้านที่สวยมากๆ ยิ่งถ้าได้มาเที่ยวช่วงปลายฝนต้นหนาวหรือฤดูทำนา เราจะได้เห็นนาขั้นบันไดเขียวชอุ่มที่มีวิวภูเขาเป็นฉากหลังอยู่ท่ระเบียงด้านหลัง
ออกจาก Gem Valley Art Gallery เราจะเข้าสู่หมู่บ้านกั๊ตกั๊ต หรือ Cat Cat Village อย่างเต็มตัว ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวม้งชื่อดังของซาปา ใครมาเที่ยวซาปาแล้วไม่ได้มาเยือนกั๊ตกั๊ตถือว่ามาไม่ถึงซาปานะคะ ที่นี่เราจะได้เห็นบรรยากาศวิถีชีวิตชาวเขาเผ่าม้งกลางหุบเขา ถึงแม้ปัจจุบันที่นี่จะเปลี่ยนไปมากเมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อนที่จุ๊เคยมาเยือนที่นี่ ตอนนี้ที่นี่กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีเส้นทางเดินในหมู่บ้านอย่างสะดวกสบาย มีร้านค้าและร้านขายของที่ระลึกมากมาย แต่เราก็ยังได้กลิ่นไอความเป็นธรรมชาติและวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชาวบ้านอยู่ค่ะ
ณ ขณะหนึ่ง จุ๊เหลือบไปเห็นเด็กน้อยสองคนยืนหันหลังเคียงข้างกันเหม่อมองไปยังขุนเขาที่มีขาขั้นบันไดอยู่เบื้องหน้า อดยิ้มให้กับภาพตรงหน้าไม่ได้ หันไปมองเพื่อนสาวที่เดินมาด้วยกัน ว่ากันตรงๆ จุ๊ไม่ได้ตั้งใจจะกลับมาเที่ยวซาปาอีก (นอกจากจะกลับมาปีนเขาฟานซิปัน) แต่เพราะเพื่อนข้างๆจุ๊จึงเดินทางกลับมาที่นี่อีกครั้งก่อนกำหนด
ในการเดินทาง…บางครั้งก็ไม่สำคัญว่าเรากำลังไปไหน
แต่สำคัญว่า…มีใครอยู่ข้างๆเราต่างหาก
มีเพื่อนร่วมทางดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
บนเส้นทางชีวิต ก็เช่นกัน
การเดินเทรคกิ้งในบริเวณหมู่บ้านกั๊ตกั๊ต หรือ Cat Cat Tourism Area เราจะต้องซื้อบัตรเข้าหมู่บ้านในราคา 40.000 VND โดยสถานีขายบัตรจะตั้งอยู่ตรงข้ามกับร้านขายชุดกันหนาวที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน Vietnam Cat Cat Shop ที่โฆษณาว่าเป็นร้านที่ขายถูกที่สุดในซาปา (จุ๊ไม่ได้พิสูจน์นะคะว่าจริงหรือเปล่า) เมื่อซื้อบัตรแล้วเราก็จะได้แผนที่มาด้วย แล้วเราก็จะสามารถเลือกเส้นทางที่อยากเดินกันได้เลย
จุ๊เลือกเดินผ่านหมู่บ้านชาวม้ง โดยเลี้ยวซ้ายเข้าซอยเล็กๆจากจุดตรวจบัตร Checking Station 1 ค่ะ
ทางเดินชมหมุ่บ้านจะเป็นขั้นบันไดปูนอย่างดีให้เราได้เดินไต่ลงไปเรื่อยๆ มีร้านขายของที่ระลึกมากมายข้างทางให้ได้ชมได้ช๊อปกันเพลินๆ สินค้าส่วนใหญ่จะเป็นผ้าทอมือ ชุดพื้นเมืองของชาวม้ง ของใช้ที่ทำจากเขาควาย และหินอ่อนแกะสลัก งานฝีมือทั้งนั้น
นอกจากร้านขายของที่ระลึกมากมายแล้ว บนเส้นทางนี้เราจะได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวม้งที่อยู่กันอย่างเรียบง่าย สอดคล้องและสมดุลไปกับธรรมชาติรอบตัว วิถีชีวิต เด็กน้อย สัตว์เลี้ยงที่ถูกปล่อยไว้ตามธรรมชาติ เป็นเสน่ห์ที่ยังไม่ลดน้อยลงไปจากเมื่อสิบปีก่อนเลย
บรรยากาศนาขั้นบันไดที่ยามนี้ไม่ได้เขียวชะอุ่มหรือเหลืองเรืองรอง เพราะไม่ใช่ฤดูทำนา ถึงแม้ไม่สวยเท่า แต่จุ๊ก็อดที่จะจินตนาการถึงบรรยากาศนาขั้นบันไดสีเขียวสวยที่เคยได้เห็นเมื่อหลายปีก่อน หากมีโอกาสปีหน้ากลับมาปีนเขาช่วงปลายฝนต้นหนาว (สิงหาคม-ตุลาคม) เราคงได้เจอกันอีก
ภาพเด็กน้อยและวิถีชาวม้งระหว่างทาง ถึงแม้หมู่บ้านกั๊ตกั๊ตจะกลายป็นแหล่งท่องงเที่ยวชื่อดังที่มีแขกมาเยือนจากทุกมุมโลก สร้างรายได้ให้กับครอบครัว แต่ผู้คนที่นี่ยังคงวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมไว้
เดินไต่เขาลงมาเรื่อยๆตามทางและขั้นบันไดเล็กๆเป็นระยะทางประมาณ 350 เมตร เราก็จะได้พบกับลำธารที่เรียกกันว่า Flower Stream เป็นสัญญาณว่าเราเข้ามาใกล้ Tien Sa Waterfall แล้วค่ะ น้ำตกแห่งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญของหมู่บ้านกั๊ตกั๊ตที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเช่าชุดชาวเขาเผ่าม้ง เพื่อถ่ายภาพเป็นที่ระลึกอย่างกับฉากสวยในสตูดิโอ
จากจุดชมวิวน้ำตก Tien Sa เราสามารถที่จะเลือกเดินต่อไปยังเส้นทางเดินป่า Rung Gia Florest ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเส้นทงยอดนิยมของนักเทรคกิ้งชาวตะวันตก จากจุดนี้ไปอีกเป็นระยะทางประมาณ 1 กม.ค่ะ (สามารถซื้อทัวร์เทรคกิ้งกับบริษัททัวร์ในเมืองก็ได้ค่ะ) แต่วันนี้พวกเราเหนื่อยแล้ว อยากกลับไปอาบน้ำอาบท่าที่โรงแรม ก็เลยตัดสินใจกลับไปในตัวเมืองซาปากันก่อน โดยเดินต่อไปยังสะพานกั๊ตกั๊ต Cat Cat Bridge จากจุดนี้เป็นระยะทางประมาณ 600 ม. ซึ่งระหว่างทางเดินก็จะมีบ้านหลังเล็กหลังน้อยให้เราได้ชม แต่ไม่ไม่หนาแน่นเท่าเส้นทางช่วงแรก
เมื่อเดินมาถึงปลายอีกฝั่งของสะพาน เราก็เจอพี่ๆมอเตอร์ไซต์รับจ้างจอดรอให้บริการอยู่หลายคัน วันนี้เหนื่อยกันมาพอสมควรจะให้เดินขึ้นทางชันกลับไปก็คงไม่ไหว พวกเราเลยสวมวิญญาณเป็นเด็กสะก๊อยซ้อนท้ายพี่วินกลับไปยังตัวเมืองซาปา
เมื่อตกลงให้หนุ่มแวนซ์มาส่งที่ร้านอาหารที่เราเล็งไว้ตั้งแต่เมื่อเช้า เพราะร้านสวยและเป็นที่แนะนำอันดับต้นๆใน Trip Advisor ร้านนี้ชื่อว่า Red Dao House ค่ะ เป็นร้านอาหารพื้นเมืองแนวฟิวชั่น อาหารปรุงด้วยวัตถุดิบคุณภาพดี รสชาตดัดแปลงให้ถูกปากชาวตะวันตก บริการดี ราคาก็พอประมาณค่ะ เมนูแนะนำจะเป็นพวกสตูเนื้อจานร้อนค่ะ
หลังจากอิ่มท้อง พวกเราก็กลับไปเช็คอินที่โรงแรม อาบน้ำอาบท่าและพักผ่อนยามบ่ายในห้องพักกันสักพัก พอบ่ายแก่ๆจึงค่อยออกมากเดินเล่นในตัวเมืองอีกครั้ง คราวนี้เดินเลยจตุรัสซาปาตรงไปยังทะเลสาบซาปา Sapa Lake บรรยากาศริมทะเลสาบตอนเย็นสวยงามเงียบสงบมากค่ะ ภาพบ้านสีสันสดใสกับเทือกเขาสูงเบื้องหลังสะท้อนเป็นเงาอยู่บนผิวน้ำ ทำให้หวนคิดถึงบรรยากาศเมืองอินสบรูค (Innsbruck) เมืองสวยติดอันดับในใจตลอดกาลในประเทศออสเตรีย ด้านหน้าทะเลสาบใกล้ๆกับสามแยกใหญ่เป็นลานกิจกรรมเล็กๆที่ยังมีร่องรอยการจัดงานฉลองปีใหม่ 2015 หลงเหลืออยู่ พวกเราเดินเล่นรอบๆทะเลสาบอย่างเพลิดเพลิน นี่ถ้ามีการทำทางเดินหรือทางจักรยานโดยรอบก็คงจะดีไม่น้อย
เมื่อพวกเราเดินครบรอบก็มืดค่ำพอดี เราสองคนลองเดินเข้าไปในซุปเปอร์มาร์เกตท้องถิ่น เพื่อชมสินค้าและบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยของชาวซาปา เสร็จแล้วก็เดินกลับมายังสามแยกใหญ่ที่มีร้านหม้อไฟตั้งอยู่เรียงราย พวกเราตัดสินใจเข้าไปในร้านหม้อไฟ Cam-Loa เลือกร้านที่มีคนเต็มร้าน เราใช้ภาษามือสื่อสารกับพนักงานเพราะในร้านมีแต่คนท้องถิ่นไม่มีนักท่องเที่ยวและเมนูภาษาอังกฤษเลย ในที่สุดเราก็ได้ชุดรวมเนื้อ หมู ไก่ ปลาแซลมอน (ปลาแซลมอนเป็นสัตว์เศรษฐกิจของซาปาเลยนะคะ) กับผักอีกหนึ่งตะกร้าใหญ่ ทดลองใส่ทุกอย่างลงไปในน้ำซุป คล้ายๆกับการทานสุกี้ยากี้บ้านเรา ได้อิ่มอร่อยตามแบบฉบับชาวซาปา นับว่าเป็นการปิดท้ายวันแรกในซาปาอย่างสมบูรณ์แบบเลยค่ะ
แล้วติดตามการเดินทางในซาปาวันที่สองกันต่อในตอนหน้านะคะ จะพาไปเทรคกิ้งในหมู่บ้านม้งกันเต็มๆอีกหนึ่งวัน รับรองโหด สวย ประทับใจแน่นอน
เที่ยวไปตามใจฉัน ตอนที่ 3…เทรคกิ้ง 13 กิโลม้ง หมู่บ้าน Ma Tra – Ta Phin
สำหรับคนที่พลาดแนะนำการเดินทางสู่ฮานอยและซาปา สามารถย้อนอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้
เที่ยวไปตามใจฉัน…5 วัน การเดินทางสู่ซาปาเมืองในหมอก
และการเดินทางหนึ่งวันในฮานอยค่ะ
เที่ยวไปตามใจฉัน ตอนที่ 1…เมื่อฮานอยฝนตกทั้งวันไปไหนดี
ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ ขอให้สนุกกับการเดินทางค่ะ
Reblogged this on mintnemint.
LikeLike