เนปาล…เป็นความฝันสูงสุดในการเดินทางของจุ๊ค่ะ

ฝันว่า อยากจะเห็นเทือกเขาหิมาลัย เทือกเขาที่สูงที่สุดในโลก ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าให้ได้สักครั้งในชีวิต

และปีนี้จุ๊ก็ตั้งใจว่า จะทำความฝันนี้ให้เป็นจริง เพราะอายุก็ไม่ใช่น้อยๆแล้ว รีบทำก่อนที่จะไม่มีแรง

หลังจากเพื่อนสาวนักเดินทางชาวอินโดนีเซียตอบตกลงปลงใจจะไปผจญหิมาลายาด้วยกัน

เราก็เริ่มหาข้อมูล แล้วก็พบกับความลำบากใจว่าจะไปเส้นทางไหนก่อนดี

ระหว่าง Everest Base Camp Trek (EBC) กับ Annapurna Circuit Trek (ABC)

แน่นอนว่า เราสองคนอยากไปทั้งสองเส้นทาง แต่ด้วยเวลา (ตามประสามนุษย์เงินเดือน) และพลังกายที่มีจำกัด

เราจึงจำเป็นต้องเลือกเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งก่อน

หลังจากอ่านข้อมูลมากมายจากนักเดินทางรุ่นพี่ ก็พบว่าไม่มีคำตอบสุดท้ายสำหรับคำถามที่ว่า เส้นทางไหนดีกว่ากัน

ทั้งสองเส้นทางต่างมีดีและจุดขายแตกต่างกันไป การเลือกจึงต้องพิจารณาหลายด้านแล้วแต่บุคคลและสภานการณ์

จุ๊เลยลองรวบรวมข้อมูลที่ได้อ่าน เอามาแปล และสรุปไว้ เผื่อเป็นวิทยาทานและข้อมูลเบื้องต้นให้กับเพื่อนๆที่สนใจไป

trekking ที่เนปาล แล้วมีอาการรักพี่เสียดายน้องแบบจุ๊นะคะ

Everest Base Camp Trek (EBC)

จุดดึงดูดของเส้นทาง EBC คือ “Scenery” หรือวิวทิวทัศน์ สำหรับคนที่ต้องการชื่นชมเทือกเขาหิมาลัยอย่างใกล้ชิด หรือ close-up

คุณจะพอใจกับเส้นทางนี้แบบที่ไม่เคยได้เห็นบนเส้นทางไหนมาก่อน เราจะได้เห็นยอดเขา Everest กันตั้งแต่วันที่สองหรือสามของการเดิน

และความงามของภูเขาหิมะจะคงอยู่เคียงคู่ไปกับคุณตลอดการเดินทาง และเมื่อคุณไปถึงจุดหมาย หรือ the summit ของเส้นทางนี้ที่ Kala Pattar คุณจะต้องยิ่งตะลึงพึงใจไปกับวิวทิวทัศน์ที่รอให้รางวัลกับความสำเร็จของคุณ บนเส้นทาง EBC คุณจะได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับภูเขาน้ำแข็งที่รายล้อมตัวเรา

Annapurna Circuit Trek (ABC) 

สำหรับเส้นทาง ABC การเดินทางจะเริ่มต้นในจุดที่ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับเส้นทาง EBC และเส้นทางนี้เราจะได้เดินผ่านทิวทัศน์ที่หลากหลาย ตั้งแต่ทุ่งนา สู่ความหนาวเย็นของภูเขาน้ำแข็ง ไปจนถึงที่ราบสูงทิเบตอันแห้งแล้ง

ระดับความยาก 

หากวัดกันที่ความท้าทาย เส้นทาง Everest Base Camp Trek นับว่าหนักหนากว่าเส้นทาง Annapurna Circuit Trek

ปัจจัยหลักคือ เราต้องเผชิญกับสภาพความกดอากาศต่ำ (altitude) เพราะเพียงแค่วันที่สอง เราก็จะอยู่ที่ระดับความสูง 3420 เมตร

จากระดับน้ำทะเลกันแล้ว ในขณะที่เส้นทาง ABC เราจะได้พบเจอกับสภาพความกดอากาศในระดับเดียวกันนั้นก็เมื่อย่างเข้าสู่วันที่หกนู่น

และเป็นที่ทราบกันดีกว่า การเดินในที่ high altitude นั้นยากลำบากแค่ไหน ไม่ใช่เพียงแค่ปริมาณออกซิเจนที่มีน้อย ยังรวมถึงการต่อสู้กับความหนาแน่นของอากาศที่ลดลงด้วย ซึ่งปริมาณของอากาศนี้มักจะส่งผลต่อความแข็งแรงของร่างกายและจิตใจของนักเดินทาง

ในแต่ละวันบนเส้นทาง EBC เราจะต้องเดินขึ้น เดินลง แบบนับครั้งไม่ถ้วน ในขณะที่เส้นทาง ABC จะมีความเรียบมากกว่า

เมื่อเราต้องเดินขึ้น แสดงว่าเราต้องเดินลงด้วย เส้นทาง EBC จะต้องเดินขึ้นและลงบนเส้นทางเดิม ซึ่งจะได้รับความหลากหลายน้อยกว่าเส้นทาง ABC ที่ไม่ต้องเดินกลับซ้ำเส้นทางเดิม

ว่ากันด้วย ที่พักและอาหารการกิน

โรงแรมหรือที่พักบนเส้นทาง Everest Base Camp Trek นับว่ามีคุณภาพดีกว่า ทั้งเรื่องของสภาพห้องนอนและสภาพห้องน้ำ (ว่ากันว่า ที่ Annapurna Circuit Trek แทบจะหาห้องน้ำแบบโมเดิร์นได้ยากยิ่งนัก ใครอยากลองห้องส้วมแบบพื้นบ้าน ก็คงจะติดใจ)

ส่วนเรื่องอาหาร นับว่าไม่แตกต่างกันมากนัก เพียงแต่บนเส้นทาง ABC อาจมีเมนูผักให้เลือกมากกว่า (ก็บนภูเขาน้ำแข็ง ไม่สามารถปลุกผักได้นี่นา)

ว่ากันด้วย เรื่องเงินๆทองๆ

แน่นอนว่า ค่าใช้จ่ายมักแปลผันตรงกับระดับความสูง การเดินทางไปยัง Everest Base Camp จึงมีแพงกว่า ไฮโซกว่า

วันที่สองของการเดินทาง เราจะต้องเสียค่าเข้าที่ 400NRP โดยประมาณ ในขณะที่ ABC เราจะยังไม่เจอราคาสุดโหดจนกว่าถึงวันท้ายๆในเมืองที่ตั้งอยู่บนที่สูงมากๆ อีกทั้งเรายังต้องคำนึงถึงการเดินทางโดยเครื่องบินไปยังเมือง Lukla ซึ่งมีค่าใช้จ่ายโดยประมาณ $240 ต่อคน หากใครต้องการประหยัดค่าเดินทางนี้ ก็สามารถทำได้โดยการเดินเท้าจากเมือง Jiri ซึ่งต้องใช้เวลาอีกกว่าหนึ่งสัปดาห์ และขึ้นอยู่กับว่าคุณจะมีแรงเยอะแค่ไหน และเส้นทางนี้จำเป็นต้องพึ่งพาไกด์และลูกหาบ ในขณะที่ ABC เราสามารถไปเองได้หรือเพิ่มลูกหาบได้ ตามกำลัง

ค่าใช้จ่ายโดยรวมในการเดินบนเส้นทาง ABC จึงค่อนข้างถูกกว่าค่ะ

สรุป ทั้งสองเส้นทางมีความสวยงามและเสน่ห์ที่แตกต่างกัน การจะเลือกไปเส้นทางไหนก่อน คงแล้วแต่ปัจจัยของแต่ละคน

สำหรับจุ๊ เขียนเสร็จแล้วก็ยังตัดสินใจไม่ได้เลยค่ะ รู้แค่ว่า อยากไปทั้งสองเส้นทางเลย ไว้ตัดสินใจได้แล้วจะมาแจ้งให้ทราบกันอีกที

แน่นอนว่า ไม่ว่าจะเลือกเส้นทางไหน จะกลับมาพร้อมเรื่องเล่าเต็มกระเป๋าเดินทางแน่นอน

See you again next trip 🙂

ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก http://thekathmanduo.blogspot.sg